แนะนำ 2 ภาพยนตร์ ควันหลง ความรัก

วัชระ แวววุฒินันท์

เครื่องเคียงฯ ฉบับนี้ เขียนต้นฉบับในช่วงวันแห่งความรัก ช่วงนี้จึงได้ชมภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับ “ความรัก” หลายเรื่องเพื่อให้เข้าบรรยากาศ แม้ด้วยวัยจะเลยช่วงความซาบซ่านถึงความรักอันสดใสมานานแล้วก็ตาม

ได้เลือกหยิบภาพยนตร์ 2 เรื่องมาถ่ายทอดให้ฟัง เรื่องแรกเป็นสัญชาติเกาหลี เรื่องหลังเป็นสัญชาติจีนไทเป ซึ่งบริบทของหนังเป็นตะวันออกเข้ากับคนไทยมากกว่าเรื่องที่มาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งมีวิธีคิด บริบทของสังคม แตกต่างจากเราอยู่มาก…เลยไม่อินเท่าไหร่

เรื่องแรกชื่อ “The Classic” สร้างมา 20 ปีแล้ว แต่เรื่องของความรักไม่มีกาลเวลา จึงสามารถชมได้อย่างไม่ติดขัดอันใด

ส่วนเรื่องที่สองใหม่กว่ามาก เป็นผลงานเมื่อปี 2022 ชื่อเรื่องว่า “The Reclaim”

ว่าเรื่องแรกกันก่อน The Classic เป็นผลงานการกำกับฯ และเขียนบทของ กวักแจยอง ที่ตัวหนังได้กลายเป็นต้นแบบของละครและซีรีส์จากดินแดนเกาหลีในเวลาต่อมา

นำแสดงโดยนักแสดงสาว “ซนเยจิน” ที่มีผลงานต่อมาอีกมากมาย และโด่งดังจากซีรีส์หลายเรื่อง เช่น Something in The Rain และ Crash Landing on You

ซึ่งในเรื่อง The Classic นี้ เธอยังหน้าใสปิ๊งอยู่มาก และก็มีบทให้เธอร้องไห้อยู่หลายฉาก เธอร้องไห้ได้สวย จนได้ชื่อว่าเป็นนักแสดงหญิงที่ร้องไห้สวยคนหนึ่งของเกาหลี

เรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวในสองวัย คือ วัยแม่และวัยลูกสาว ซึ่ง ซนเยจิน รับเหมาแสดงทั้งบทตัวแม่และบทตัวลูก นั่นคือโอกาสให้เธอแสดงฝีมือให้ผู้ชมประทับใจได้มากขึ้น

หนังจะเล่าเรื่องคู่ขนานกันไประหว่างช่วงวัยสาวในยุค 1960 ของแม่ที่ชื่อ “จูฮี” กับช่วงปัจจุบันของลูกสาวที่ชื่อ “จีเฮ”

เริ่มต้นจากที่ลูกสาวเก็บบ้าน และไปพบกล่องไม้บรรจุจดหมายเก่าที่แม่ของเธอเก็บเอาไว้ เมื่อเธอได้อ่านเรื่องราวในจดหมาย เธอก็ได้รับรู้เรื่องราวความรักวัยใสของผู้เป็นแม่

และหนังก็จะย้อนพาผู้ชมไปร่วมสัมผัสด้วยเป็นระยะ

จูฮี ผู้แม่ได้พบเจอกับ “จุนฮา” ทั้งสองเกิดชอบอีกฝ่ายตั้งแต่ได้เห็นกันครั้งแรกในต่างจังหวัดที่ทั้งสองไปอาศัยอยู่ในช่วงหน้าร้อน สมกับชื่อไทยของเรื่องที่ตั้งไว้ว่า “คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต”

แต่ความรักย่อมมีอุปสรรค เมื่อทั้งสองกลับมาที่เมืองซูวอน และได้มีโอกาสเจอะเจอกันอีก และพลอยรู้ว่า เพื่อนของจุนฮาที่ชื่อ “แทซู” คือ ชายหนุ่มที่พ่อของจูฮีตั้งใจจะดองด้วย ตามกรอบการคลุมถุงชนของสังคมยุคก่อน

ทั้งจูฮี และ จุนฮา จำต้องเก็บความรู้สึกแอบซ่อนเอาไว้ แต่ก็หาโอกาสพบเจอกันตามแต่จะสามารถ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และในที่สุดความรักก็แน่นอกจนทั้งสองจำต้องบอกออกไป ผลของมันคือ แทซูเกือบฆ่าตัวตายสำเร็จ หากไม่ได้จุนฮาช่วยไว้ทัน

และนั่นทำให้เขาจำต้องตัดใจจากหญิงสาวที่รัก และเร้นหน้าไปไกลด้วยการสมัครเป็นทหารเพื่อเข้ารบในสงครามเวียดนาม วันที่ออกเดินทางด้วยรถไฟ จูฮีตะโกนซ้ำๆ บอกชายคนรักทั้งน้ำตาว่า “เธอต้องกลับมานะๆ”

เรื่องราวจากนั้นเป็นอย่างไร คงทิ้งไว้ให้ผู้ที่สนใจไปชมเอาเอง บอกได้เพียงว่าจูฮีได้กลับมาจริง แต่หลายอย่างในชีวิตคนเราก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง อยู่ที่ว่าเราจะตั้งรับกับเหตุการณ์และความรู้สึกในช่วงนั้นๆ อย่างไร

หนังเรื่องนี้ผู้ชมจะอิ่มเอมกับเส้นทางความรักของทั้งสอง ที่แสดงได้น่ารักและชวนเอาใจช่วยตลอดเวลา แถมมีแทรกอารมณ์ขันเป็นระยะ จึงทำให้การเดินเรื่องไม่หนักเกินไป ซึ่งนักแสดงทั้งสอง คือ ซนเยวจิน และ โจซึงอู นั้นเคมีช่างเข้ากันได้อย่างดี คนดูสาวๆ คงฟินจิกหมอนได้ไม่ยาก

ส่วนเรื่องทางฝั่งลูกสาว “จีเฮ” นั้น ก็ล้อกันไป คือ จีเฮแอบชอบรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยที่ชื่อ “ซังมิน” ติดแต่ว่าเพื่อนของเธอนั้นมาแรงและออกหน้ากับซังมิน จนเธอต้องแอบซ่อนความรู้สึกของตนไว้เงียบๆ และลอบมองชายที่รักอย่างมีความฝันเพียงคนเดียว

ทว่า เรื่องคงไม่กระไร หากว่าซังมินนั้นก็แอบชอบจีเฮเช่นกัน เมื่อทั้งสองได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้ตนเหมือนกัน โลกก็พลอยเป็นสีชมพูขึ้นมาทันที

ฉากรักที่ประทับใจคือ ฉากที่ทั้งสองวิ่งคู่กันกลางสายฝนโดยอยู่ใต้เสื้อคลุมเดียวกัน

ทั้งภาพและดนตรี กับการแสดงออกทางสีหน้าและดวงตาของทั้งคู่ ส่งให้ผู้ชมต้องยิ้มและซาบซึ้งออกมาแน่นอน

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ก็คือ ความรักของคนวัยหนุ่มสาวนั้นไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใดนั้นช่างสวยงาม เต็มไปด้วยความฝัน และความหวังที่จะได้ตอบสนองหัวใจตนเอง

ต่อเมื่อได้เติบโตขึ้น ต้องเผชิญกับอะไรมากขึ้น จึงค่อยเรียนรู้ถึงความจริงของชีวิตด้วยความเจ็บปวด และต้องยอมรับมัน

เรื่องแรกเป็นความรักของหนุ่มสาว แต่เรื่องที่สอง “The Reclaim” เป็นเรื่องความรักของคนสูงวัย จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องของ “ความสัมพันธ์ในครอบครัว” จึงจะถูก โดยมีตัวเอกและเป็นศูนย์กลางของเรื่องคือ “เย่ หลาน ซิน” หญิงวัย 60 กว่าๆ ที่มีครอบครัวที่ดูเหมือนจะอบอุ่น คือ สามีที่เลิกทำงานแล้ว ลูกสาวที่กำลังต่อสู้เรื่องงาน และลูกชายที่เรียนอยู่ต่างประเทศ

เรื่องนี้ดำเนินเรื่องอยู่ในไทเป เมืองใหญ่ที่ทุกคนต้องดิ้นรนเอาตัวให้รอด “เย่ หลาน ซิน” หรือ “ครูเย่” ที่ลูกศิษย์ที่เธอสอนศิลปะเรียกขานก็เช่นกัน ครอบครัวของเธออาศัยอยู่ในห้องพักขนาดกลางแห่งหนึ่งที่ดูจะตอบโจทย์ในการใช้ชีวิตได้

ต่อเมื่อจู่ๆ ลูกสาวที่เลิกกับคนรัก และกำลังเปลี่ยนงานขอกลับมาอยู่ด้วย และลูกชายที่กำลังจะเดินทางกลับมาจากเมืองนอกจะมาพักอาศัยอยู่ชั่วคราวด้วย เรื่องวุ่นๆ จึงเกิดขึ้น

เรื่องวุ่นๆ นั้นก็คือ ครูเย่คิดจะหาที่อยู่ใหม่ที่จะรองรับความต้องการของครอบครัว เงินทองที่เธอพอมีอยู่ไม่สามารถหาที่อยู่ที่เหมาะสมได้ นั่นหมายถึงเธอต้องหาเงินก้อนมาเพิ่ม

หลังจากที่ไปติดใจคอนโดฯ สมัยใหม่แห่งหนึ่งเข้า และเธอคิดว่า บ้านหลังนี้จะตอบโจทย์ความสุขและความต้องการของสมาชิกทุกคนได้ เธอยอมแม้กระทั่งเอาเงินไปเสี่ยงกับการลงทุนเพราะหลงเชื่อลูกศิษย์เข้า

สาระสำคัญของเรื่องไม่ได้อยู่ที่การดิ้นรนหาที่อยู่ใหม่ แต่อยู่ที่ความสัมพันธ์ของครูเย่กับคนอื่นๆ ที่รายล้อมตัวเธอต่างหาก

นับตั้งแต่สามีที่แทบจะไม่ได้ช่วยแบ่งเบาภาระใดๆ ในชีวิตจากเธอได้เลย แม้แต่ให้ช่วยแยกขยะยังทำไม่ได้ และเรียกร้องการดูแลปรนนิบัติจากเธอในฐานะเมียตลอดเวลา

ส่วนลูกสาวก็ไม่โตสักทีเพราะต้องคอยให้แม่ช่วยเหลือในทุกๆ เรื่อง แม้แต่จะลงไปรับพัสดุที่ชั้นล่าง ยังให้แม่ไปรับและจ่ายเงินค่าส่งให้ด้วย ไม่นับกับเรื่องใหญ่ๆ อย่างการที่แม่นำเงินเก็บส่วนตัวมาช่วยการเริ่มธุรกิจใหม่ของลูก

ส่วนลูกชายที่ติดต่อกันทางมือถือ ก็มีแต่เรื่องเรียกร้องจะเอานั่นเอานี่ตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่าแม่พร้อมจะสนองตอบแค่ไหน ยังมีน้องสามีที่แวะเวียนมาที่บ้านและพึ่งพาเธอในเรื่องข้าวของอย่างไม่เกรงใจ

และที่สำคัญครูเย่ยังต้องเจียดเวลาเพื่อไปเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาล จากอาการของโรคความจำเสื่อม วันดีคืนดีพยาบาลก็จะโทร.มาแจ้งเรื่องวีรกรรมของแม่ให้ครูเย่ได้ร้อนใจ เช่น เดินออกไปจากโรงพยาบาลเอง เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าโทนของเรื่องนี้นั้นจริงจังกว่าเรื่องแรกอย่างมาก ซึ่งก็จริง เพราะชีวิตของคนเรานั้นยิ่งอายุมากขึ้นก็จะต้องเผชิญกับปัญหาและเรื่องที่ท้าทายความเข้มแข็งตลอดเวลา หากเรื่องความรักของหนุ่มสาวจากเรื่องแรกจบลงที่ได้ครองคู่กันจริงๆ พวกเขาและเธอก็จะก้าวเข้าสู่เรื่องที่สองโดยปริยาย คือ การใช้ชีวิตคู่ และการมีครอบครัว ที่ความรักอย่างเดียวใช้ในการประคองชีวิตไม่ได้ หากต้องใช้ความอดทน ความเข้าใจ ความเสียสละ รวมทั้งทรัพย์สินเงินทอง และความสุขส่วนตัวอีกด้วย

ครูเย่เป็นครูสอนศิลปะ เธอมีพรสวรรค์ด้านนี้มาแต่ยังเล็ก ความสุขส่วนตัวของเธอคือการนั่งทำงานศิลปะที่รัก แต่ในความเป็นจริงนั้น เวลาแทบจะหมดไปกับการดูแลรับใช้คนอื่นๆ อย่างที่เธอลืมตัวเองไปเลย คนอื่นคอยแต่เรียกร้องเอากับเธอ แต่ไม่เคยให้กับเธอคืนมา

คนสุดท้ายที่พอจะให้กับเธอได้ก็คือ แม่ ในวันที่เธอรู้สึกชีวิตมันพัง เธอออกจากบ้านและไปซุกตัวนอนอยู่บนเตียงกับแม่ที่โรงพยาบาล เวลานั้นเธอได้อยู่กับตัวเองจริงๆ โดยมีคนที่รักเธอเหลือเกินอยู่เคียงข้าง

ครูเย่ได้นึกย้อนถึงความผูกพันของเธอกับแม่ คำพูดคำสอนต่างๆ ของแม่ได้ย้อนกลับมาเตือนสติเธออีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็น

“แม่ไม่กลัวอะไรเลย แค่กลัวแกไม่มีความสุข”

“ท้ายที่สุดแล้วเราก็จะเหลือตัวคนเดียว ไม่มีอะไรน่ากลัว ทุกอย่างของแก แกสร้างเองได้ แกอยากให้สูงแค่ไหนก็จะสูงแค่นั้น”

และประโยคที่ทำให้ครูเย่บรรลุถึงหัวใจตนเองก็คือ “วันหนึ่งเมื่อความต้องการของแกกลับมาอยู่ที่ตัวเอง สามีของแก ก็จะเป็นเพียงภาพๆ หนึ่งบนกำแพงเท่านั้น”

เมื่อครูเย่กลับมาบ้าน การแสดงออกของเธอเปลี่ยนไป เธอไม่ได้คอยรับใช้คนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตายอีกแล้ว หากทำเท่าที่เธอสามารถและมีความสุขได้ อาหารมื้อแรกเมื่อเธอกลับไป เป็นแค่ไข่ดาวง่ายๆ ไม่ใช่อาหารเต็มโต๊ะอย่างเคย

แล้วเธอก็รู้จักที่จะลงนั่งสบายๆ บนเก้าอี้อาร์มแชร์ที่สามีใช้นั่งหาความสุขของตัวเองมาโดยตลอด

สีหน้า ดวงตา และรอยยิ้มของเธอยามนั้น เหมือนจะบอกว่า เธอรู้แล้วว่าเธอควรจะทำอะไรเพื่อตัวเอง เพื่อที่จะมีความสุขมากที่สุดโดยเฉพาะกับช่วงบั้นปลายของชีวิต

“ครูเย่” รับบทโดยนักแสดงอาวุโสชาวฮ่องกง ชื่อ “พาว ฮี ชิง” (ขอโทษหากเรียกชื่อเธอผิด) ความสามารถทางการแสดงและประสบการณ์ที่อยู่ในวงการมาร่วม 50 ปี ทำให้เธอสามารถแบกรับหนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องได้อย่างดี โดยเฉพาะแววตาของเธอนั้นสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกได้ดีจริงๆ

ที่นำภาพยนตร์สองเรื่องนี้มาถ่ายทอดต่อกันก็เพื่อจะบอกว่า ความรักเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำให้โลกสวยงาม โดยเฉพาะในวัยหนุ่มวัยสาว แต่ความรักที่ยิ่งใหญ่และเป็นจริงที่สุดคือ “การรักตนเอง”

หากเราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองให้เป็น ไม่เอาเปรียบตัวเอง ไม่รังแกตัวเอง เพียงเพื่อจะให้คนอื่นรักและชื่นชมเราในบทบาทฐานะต่างๆ เราก็จะสามารถมีความสุขที่แท้จริงได้

ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับตัวเองตามแต่ธรรมชาติและความเป็นจริงของแต่ละท่าน

ชีวิตนี้สั้นนัก อีกไม่นานก็ได้เลือกตั้งแล้ว เอ๊ย ไม่ใช่ มายิ้ม หัวเราะ และมีความสุขง่ายๆ กันเถิดครับ •

 

 

เครื่องเคียงข้างจอ | วัชระ แวววุฒินันท์