คุยกับ ‘ณเดชน์ คูกิมิยะ’ : 11ปีในวงการบันเทิง ชีวิตไม่ง่าย แต่สนุก ไม่คิดจะเป็นพระเอกไปตลอดกาล

จากก้าวแรกที่เข้าวงการเมื่อ 11 ปีก่อน ถึงวันนี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ บอกว่า เขาเองก็เหมือนคนทั่วไป ที่ “เปลี่ยนแปลง” ตามวันเวลาและประสบการณ์นานาที่ได้รับ

อย่างไรก็ตาม “โชคดีว่าคนที่อยู่รอบข้างพาเราไปในทิศทางที่ดีเสมอ” และนั่นก็ส่งผลให้ “ก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา”

แต่แน่ละ, ถ้าจะพูดตรงๆ แบบไม่รักษาภาพว่าต้องดี เก๋ เท่ คูล เขาก็ว่าบางครั้งบางคราก็มีที่ “เราถอยหลังมา” แต่ยังดีเป็นแค่ก้าวเล็กๆ และไม่ได้เป็นเรื่องหนักหนา และเมื่อรู้ตัว พร้อมตระหนักว่า “เราอยู่ในที่ที่สว่าง ที่ที่ทุกคนจับตามอง ที่ที่ทุกคนรู้จัก บางทีการทำอะไรที่ดูแล้วเหมือนจะไม่มีผล บางสิ่งบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ก็มีผลกระทบกับเราและคนอื่นได้เหมือนกัน”

“เพราะฉะนั้น มันยิ่งทำให้เราต้องเป็นคนที่รอบคอบมากขึ้น มีวินัยมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น และมองไปข้างหน้าให้ไกลกว่าที่เราเคยคิดไว้”

ชายหนุ่มวัย 29 ปี ที่บอกว่า นักแสดงไม่ใช่อาชีพในฝัน ด้วยก่อนหน้านั้นคิดมาตลอดว่าอยากเป็นสถาปนิก แต่ชีวิตก็มีเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เสมอ ด้วยเหตุนั้นเมื่อตัดสินใจ “ลอง” ตามคำชักชวนให้เข้าวงการของเอ ศุภชัย ผลสุดท้ายก็เป็นอย่างที่ทุกคนได้เห็น

“อาชีพนักแสดงสำหรับผม มันเป็นความสดใหม่ ความท้าทาย ทุกครั้งที่มีโอกาสเลือกรับบทต่างๆ เราพยายามที่จะไปค้นหาตัวละครตัวนั้น เรียนรู้ แล้วก็ศึกษา ว่าตัวละครตัวนี้ สถานการณ์แบบนี้ เขาจะเป็นยังไง จะทำอะไร เกิดเป็นคำถามตลอด มันเลยทำให้เหมือนได้ไปเรียนรู้คนคนหนึ่ง แล้วพร้อมจะเอาคนคนนี้ไปให้คนดูได้รู้จัก”

“นั่นคือความสุขในการแสดงของผมครับ”

ขณะที่เรื่องเงินอันเป็นสิ่งซึ่งมาควบคู่ คนซึ่งเคยนั่งแช่บนรถทัวร์จากขอนแก่นมากรุงเทพฯ เพื่อถ่ายละคร พร้อมกับประหยัดอดออมเท่าที่ทำได้ก็ว่า “ในจุดจุดหนึ่ง เราก็มองอย่างอื่นมากกว่า”

“เมื่อเรามีเซฟของเราแล้ว มีส่วนที่เก็บหอมรอมริบแล้ว หลังจากนี้เราอาจจะเลือกงาน หาเวลาว่างให้ตัวเอง พาที่บ้านไปเที่ยว สร้างความสุขให้ตัวเอง ให้ทุกคนในครอบครัว แล้วก็หาเวลาทำการบ้าน แล้วไปกองด้วยความสุข ถ่ายทอดละครด้วยความสุข”

“คือผมอยากเป็นนักแสดงไปเรื่อยๆ นะ เคยเห็นอาปุ๊ (มนตรี เจนอักษร) ให้สัมภาษณ์ว่า ให้เล่นจนถึงวินาทีสุดท้าย ผมก็เห็นภาพตัวเองแบบนั้นเหมือนกัน เล่นเป็นลุง เป็นพ่อ แก่แล้วก็เป็นตา เป็นปู่ เป็นอะไรไป”

ไม่ยึดติดว่าต้องเป็นพระเอกตลอดกาล

“ยังคุยกับผู้จัดการอยู่เลย ว่าขอเล่นร้ายได้ไหม ขอไปเป็นตัวประกอบ นักแสดงรับเชิญได้ไหม แต่ด้วยความที่มันละเอียดอ่อนมาก ก็เลยไม่ได้เป็นตามที่คิด” ว่าแล้วก็หัวเราะ

สำหรับเหตุผลในการขอดังกล่าว เขาบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง ว่า

“ผมว่าสนุกอ่ะ เพราะภาพลักษณ์พระเอกส่วนมากที่เราเคยทำ มันจะอยู่แคบๆ ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเราไปเป็นมือขวาพระเอก เป็นลูกกระจ๊อก หรือตัวโจ๊ก มันอาจจะรู้สึกว่าเป็นอะไรที่แปลกๆ ใหม่ๆ”

หลายคนที่เคยร่วมงานกับณเดชน์เล่าตรงกันว่า นักแสดงคนนี้มีความมุ่งมั่น และทำการบ้านอย่างดีก่อนที่จะมาถึงกองถ่ายทุกครั้ง ซึ่งพอถาม ณเดชน์ก็ว่าเรื่องนี้มีที่มาที่ไป

“คือมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทำงานตลอด แล้วทำหลายอย่าง อีเวนต์ โฆษณา ถ่ายละคร อีเวนต์ โฆษณา ถ่ายละครอยู่อย่างนี้ จนเราลืมไปว่างานจริงๆ หรือหน้าที่จริงๆ ของเรา หลักๆ คืออะไร เราคือนักแสดง แล้วมันทำให้รู้สึกเบื่อกับชีวิตที่เป็นอยู่ รู้สึกเหนื่อย ไปกองละครแล้วไม่มีความสุข เพราะเราลืมไป ว่าต้องทำการบ้าน ต้องอ่านบท ต้องให้เวลากับตรงนี้มากกว่างานอื่นๆ ที่มีเข้ามา เลยเป็นช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนให้ทำการบ้านมากขึ้น กลับไปเริ่มต้นใหม่ ทำให้ตัวเองรู้สึกเหมือน 1-2 ปีแรกที่เข้ามาในวงการเลย คือกระหายที่จะเรียนรู้ กระหายที่จะไปกอง กระหายที่จะทำการแสดง”

และนั่นก็ทำให้กลับมาสดใส และรู้สึกสดชื่นอีกครั้ง

เมื่อวันและเวลาผ่าน ณเดชน์บอกว่า สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เขาได้เรียนรู้ คือ “ตัวเอง”

“รู้จักนิสัยตัวเองมากขึ้น ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็นคนยังไง”

ขณะเดียวกัน “ก็เห็นว่าการที่เราอดทน เราเพียร เรารับผิดชอบทุกอย่าง ผลของมันไม่ได้เห็น ณ ตอนนั้นหรอก แต่จะเห็นหลังจากความอดทนและความพยายาม กลายเป็นความสุข เลยทำให้เข้าใจ ว่าคนที่อดทนที่จะตามฝัน อดทนที่จะสู้กับปัญหาต่างๆ เมื่อปัญหาเหล่านั้นได้ถูกพิชิต หรือว่าความฝันได้ถูกกระทำแล้ว มันจะเกิดเป็นความสุข และความปีติยินดี”

สุดท้ายของบทสนทนา เราถามไปว่า มีอะไรที่เขาอยากบอกกับตัวเองในวันนี้ไหม?

หลังจากนิ่งคิดไปชั่วครู่ เขาก็บอกว่า “จริงๆ ต้องขอบคุณชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่เด็กจนโตเลย เราไม่ได้เกิดในครอบครัวที่สมบูรณ์ ทุกวันนี้พูดได้ว่าเราทำทุกอย่างด้วยลำแข้ง โตมาด้วยความพยายาม ความอดทน แล้วก็สิ่งที่ครอบครัวกับทีมงานคอยดูแลให้ ขอบคุณตัวเองที่อดทนมาได้ถึงทุกวันนี้”

“ชีวิตเราไม่ได้ง่าย แต่สนุกมาก มันมีช่วงเวลาที่แย่ที่สุด ช่วงเวลาที่เสียน้ำตาที่สุด ช่วงเวลาที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้รู้ หรือไม่เคยสัมผัส”

“แต่ต้องบอกว่าโคตรคุ้มเลย ที่อยู่ได้ถึงทุกวันนี้”