แฟ้มข่าวเศรษฐกิจ : ขุนคลังแนะแบงก์พาณิชย์ควบรวมสู้ต่างชาติ /ธนารักษ์ให้เซ็นทรัลบริหารศูนย์ราชการ

ธปท.ยันยังไม่ขึ้นดอกเบี้นตามเฟด

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2561 จะฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้นและขยายตัวต่อเนื่องจึงปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ (จีดีพี) เป็น 3.9% จากประมาณการเดิม 3.8% โดยมีแรงส่งสำคัญจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่การบริโภคเอกชนเริ่มดีขึ้นแต่ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ตลาดแรงงานและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูง การลงทุนเอกชนรับอานิสงส์จากการส่งออกโดยบางธุรกิจเริ่มมีการลงทุน ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมีความชัดเจนและเบิกจ่ายมากขึ้นจะเป็นแรงหนุนหลักสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทยและหนุนให้เอกชนลงทุนตาม ส่วนปัจจัยเสี่ยงปีหน้ามาจากเรื่องความท้าทายจากเทคโนโลยีและโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีของคนกลุ่มต่างๆ ส่วนนโยบายการเงินในปีหน้ายังใช้นโยบายการผ่อนคลายเพื่อให้เศรษฐกิจโตอย่างเข้มแข็ง และยังไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ธนารักษ์ให้เซ็นทรัลบริหารศูนย์ราชการ

นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ และประธานบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2560 ได้ลงนามร่วมการลงทุนโครงการให้สิทธิเอกชนร่วมลงทุนในสิทธิการเช่าศูนย์ประชุมและโรงแรม ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ กับบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มเซ็นทารา นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี 2561 กรมยังมีแผนที่จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้พิจารณาโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการโซนซี วงเงินก่อสร้างและดำเนินการรวม 3 หมื่นล้านบาท หากผ่าน ครม. น่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ทันทีและจะแล้วเสร็จในปี 2564

นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ กล่าวว่า เซ็นทาราได้สิทธิมาลงทุนในศูนย์ประชุมและโรงแรมศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเป็นเวลากว่า 20 ปี เริ่มสัญญาตั้งแต่ 26 พฤศจิกายน 2560-30 มิถุนายน 2581 โดยชำระค่าผลตอบแทนให้ ธพส. ทั้งก้อนจำนวน 1,148.17 ล้านบาท

นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา กล่าวว่า โรงแรมศูนย์ราชการเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว แต่ราคาห้องพักอาจจะต่ำกว่าโรงแรมในเมือง แต่เชื่อว่าอนาคตต้องดีขึ้น

แบงก์กรุงเทพยังจับตาหนี้เสียใกล้ชิด

นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า คาดว่าปี 2561 สินเชื่อธนาคารจะขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2560 คือไม่ต่ำกว่า 4% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ปี 2560 คาดว่าสินเชื่อธนาคารขยายตัวที่ 3.7-3.8% ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปรับขึ้นเล็กน้อยประมาณ 0.2-0.3% ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอลปี 2561 อาจจะยังปรับขึ้นบ้าง ธนาคารจึงยังระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อและดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด โดยความเสี่ยงของปี 2561 จะอยู่ที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยในประเทศ คาดว่าจะยังไม่ปรับขึ้น

ขุนคลังแนะแบงก์พาณิชย์ควบรวมสู้ต่างชาติ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานไทยแลนด์ สมาร์ท มันนี่ กรุงเทพ ครั้งที่ 8 ว่า มีแนวคิดที่จะผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ของไทยควบรวมกัน เพื่อเป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่สามารถแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ของต่างชาติ และน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ช่วยรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ จากปัจจุบันธุรกิจไทยมีขนาดใหญ่ขึ้นจนธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถปล่อยสินเชื่อให้ได้ เพราะธนาคารโตช้ากว่าธุรกิจเหล่านั้น และเมื่อเทียบกับธนาคารในภูมิภาคธนาคารพาณิชย์ไทยยังมีขนาดเล็ก จากในอดีตธนาคารต่างชาติบางแห่งเคยมีขนาดเล็ก แต่ปัจจุบันธนาคารเหล่านั้นได้ขยายตัวใหญ่กว่า 2-3 เท่าตัวซึ่งกระทรวงการคลังพร้อมสนับสนุนด้วยมาตรการทางภาษีในการควบรวมของธนาคาร

กพท.เร่งแก้กฎหมายการบิน

นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ถือเป็นภูมิภาคที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ไอเคโอ) ให้ความสำคัญและเน้นย้ำเรื่องการรักษาความปลอดภัยด้านการบินค่อนข้างมาก เพราะเป็นภูมิภาคที่มีกิจกรรมด้านการบินมากที่สุด ทั้งจำนวนเครื่องบินและสายการบินต่างๆ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาค่อนข้างมาก ดังนั้น แม้แต่ละประเทศจะมีแผนการรักษาความปลอดภัยด้านการบินอยู่แล้วแต่ต้องทบทวน ปรับปรุง แก้ไขแผนให้มีความทันสมัยรับมือภัยคุกคามด้านการบินที่เกิดขึ้นใหม่ได้เหมาะสมทุกความเสี่ยงและเป็นไปตามแผนการรักษาความปลอดภัยการบินพลเรือนระดับโลก (GASeP) ทั้งนี้คาดว่าแต่ละประเทศจะดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนการประชุมไอเคโอครั้งที่ 40 ปี 2562 ซึ่งส่วนของไทยก็ดำเนินการเรื่องนี้อยู่

ธปท.ดึง กลต.-ปปง.คุมภัยเงินดิจิตอล

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า การลงทุนในสกุลเงินดิจิตอล เช่นบิตคอยต์นั้นไม่มีพื้นฐานราคาที่ชัดเจน และไม่มีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่อ้างอิงและยังไม่มีกฎหมายรองรับซึ่งมีความเสี่ยงสูงใกล้เคียงการพนัน นักลงทุนต้องระมัดระวังอย่าเข้าไปเล่นตามกระแส

นายวิรไทย สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท. และธนาคารกลางทั่วโลกยังไม่มีใครรับรองว่าเงินดิจิตอล (คริปโตเคอเรนซี่) สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จึงไม่ถือเป็นสกุลเงิน แต่อาจจะมีประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นสกุลเงินชนิดหนึ่ง ซึ่งเงินดิจิตอลในปัจจุบันมีลักษณะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเหมือนสินค้าโภคภัณฑ์ ดังนั้น จึงมีความเสี่ยงทั้งราคาที่ผันผวนสูง รวมทั้งเรื่องระบบปฏิบัติการ เพราะสินทรัพย์ที่เป็นดิจิตอลอาจมีปัญหาถูกแฮ็กทำให้สูญเสียเงินจริงได้

ซึ่งล่าสุด ธปท. ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อช่วยกันติดตามดูแลและช่วยเตือนประชาชนให้เข้าใจความเสี่ยง