เผยแพร่ |
---|
ทำไมจึงมีการสร้างแรงกดดันอย่างเป็นระบบและเป็นจังหวะก้าวให้พรรคก้าวไกลยอมรับต่อสถานะและตำแหน่ง”ผู้นำฝ่ายค้าน”เร่งเร้าเป็นอย่างสูง
เหมือนกับจะเป็นการให้เกียรติ เหมือนกับจะเป็นการจัดวางที่ทางให้กับพรรคก้าวไกลแม้ว่าตำแหน่งนี้จะมิได้เป็นของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ต้องยอมรับว่าแรงกดดันนี้มีเหตุผล มีความเป็นจริงในทางการเมืองเป็นฐานหนุนอย่างเต็มเปี่ยม
1 เพราะว่าพรรคก้าวไกลมีจำนวน สส.มากที่สุด
1 เพราะว่าจากสถานการณ์เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม และคำตอบจากสถานการณ์เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ก็เป็นอันแน่ชัดในสถานะของพรรคก้าวไกล
นั่นก็คือ ต้องเป็น”ฝ่ายค้าน”อย่างแน่นอน ยากเป็นอย่างยิ่งที่ จะพลิกกลับไปเป็น”รัฐบาล” หรือได้รับเชิญให้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ”รัฐบาล”
คำถามก็คือ ทำไมพรรคก้าวไกลจึงยังไม่ให้คำตอบ กลายเป็นว่ายิ่งพรรคก้าวไกลไม่ให้คำตอบก็ยิ่งเป็นประเด็น
เป็นประเด็นผ่านบทบาท นายปดิพัทธ์ สันติธาดา
ยอมรับได้เลยว่าการดำรงอยู่ของ นายปดิพัทธ์ สันติธาดา ในฐานะ”รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1”กำลังก่อให้เกิดผลสะเทือนอย่างลึกซึ้ง กว้างไกล
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าเป้าหมายของพรรคก้าวไกลมิใช่”รอง ประธาน” หากแต่เป็น”ประธาน”
ถามว่าทำไมพรรคก้าวไกลจึงยอมรับตำแหน่ง”รองประธาน”
คำตอบเห็นได้จากความ”แอ็คทีฟ”เป็นอย่างสูงของ นายปดิ พัทธ์ สันติธาดา ที่หลายคนอาจติดอยู่กับ #หมูกระทะ แต่แท้จริงแล้วคือ การสร้าง”มิติ”แห่ง”รัฐสภา ยุคใหม่”
เป็นสภาที่ดำเนินการอย่าง”โปร่งใส” ตรวจสอบได้ ไม่เพียงแต่ผ่านที่ประชุมใหญ่”รัฐสภา” หากแม้กระทั่งการประชุม”กรรมาธิการ”ก็เปิดเผย
เป้าหมายนี้เริ่มเห็นได้ผ่านแต่ละก้าวย่างของ”หมออ๋อง”
กระบวนท่าของ นายปดิพัทธ์ สันติธาดา ในการทำงานแม้จะจำกัดกรอบเพียงตำแหน่ง”รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1” แต่ก็นำไปสู่การเปรียบเทียบ
เปรียบเทียบกับ”ประธาน” เปรียบเทียบกับ”รองประธาน”
ไม่เพียงเปรียบเทียบกับผู้ดำรงตำแหน่งใน”ปัจจุบัน” หากแต่ยังเปรียบเทียบกับผู้ดำรงตำแหน่งใน”อดีต” ไม่ว่าในเรื่องความโปร่งใส ไม่ว่าในเรื่องท่วงทำนอง
ยิ่ง นายปดิพัทธ์ สันติธาดา อยู่ในตำแหน่งยาวนาน ผลสะเทือนจะยิ่งลึกซึ้งและกว้างไกล