เผยแพร่ |
---|
การไหลเข้าพรรคภูมิใจไทยของ 3 ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐในห้วงของ”วันแห่งความรัก” ได้รับการประเมินจากแต่ละเกจิทางการ เมืองด้วยความคึกคักแหลมคม
มองเห็นเป็นความสำเร็จของพรรคภูมิใจ มองเห็นเป็นความเชี่ยวชำนาญทางการเมืองของพรรคภูมิใจไทย
ขณะเดียวกัน ก็มองเห็นเป็นความล้มเหลวของพรรคพลังประ ชารัฐ และมองเห็นเป็นความล้มเหลวของพรรคเศรษฐกิจไทยซึ่งเพิ่ง ตั้งไข่ในทางการเมือง
นิ้วโป้งที่ยกขึ้นชูจึงเป็นการชูให้กับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล
พร้อมกันนั้น สายตาที่มองไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สายตาที่มองไปยัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ย่อมเป็นสายตาแห่งสมเพชเวทนา
เท่ากับเป็นบทสรุปด้านที่”รุ่งโรจน์” เท่ากับเป็นบทสรุปด้านที่
“อับเฉา”ทางการเมืองในห้วงเวลาเดียวกัน เท่ากับสะท้อน”ค่านิยม”อันดำรงอยู่ในสังคมการเมืองปัจจุบัน
นั่นก็คือ การเมืองกระแส”หลัก” การเมือง”เก่า”ที่ดำรงอยู่
แท้จริงแล้ว สภาพที่พรรคพลังประชารัฐประสบก็เป็นสภาพที่มีการ คาดหมายอยู่แล้วในทางการเมือง จากยุคพรรคเสรีมนังคศิลากระ ทั่งพรรคสามัคคีธรรม
นั่นต้องย้อนกลับไปดูว่ากำเนิดแห่งพรรคพลังประชารัฐนับแต่เดือนเมษายน 2561 เกิดขึ้นและดำรงอยู่อย่างไร
นักการเมืองจากตระกูล”ช่างเหลา”มีรากฐานความเป็นมาอย่างไร นักการเมืองจากตระกูล”พันธ์เกษม”เคยผ่านพรรคการเมือง มาแล้วกี่พรรคก่อนมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ
กระบวนการในแบบพรรคภูมิใจไทย กับ กระบวนการในแบบพรรคพลังประชารัฐ จึงแทบมิได้แตกต่างกัน และเส้นทางต่อไปก็ไม่
น่าจะแตกกันตราบที่แต่ละฝ่ายยังเล่นการเมืองวนเวียนอยู่เช่นนี้
ยอมรับเถิดว่าท่วงทีและลีลาอย่างที่พรรคภูมิใจไทยใช้ ท่วงทีและลีลาอย่างที่พรรคพลังประชารัฐใช้ คือด้านหลักที่ครอบงำตลอดทั่ว ทั้งสังคมการเมือง
เมื่อพรรคพลังประชารัฐนำมาใช้สังคมก็ชูหัวแม่โป้งให้
เมื่อพรรคประชารัฐประสบชะตากรรมในแบบเดียวกันกับพรรค สามัคคีธรรมประสบในปี 2535 สังคมก็รู้สึกเอน็จอนาถใจ
นี่คือกงกรรมอันเป็นไปตามกงเกวียนที่เวียนวนเที่ยงแท้แน่นอน