เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าการรุกไล่จากคำแถลง ณ รัฐสภา เมื่อวันที่ 1 กันยายน จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ว่าการรุกไล่ผ่านบรรยากาศการประ ชุมครม.เต็มคณะเมื่อวันที่ 7 กันยายน
ถือว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ตกอยู่ในสถานการณ์ถูกรุกและปิดล้อมอย่างหนักหนาสาหัส
ยิ่งเมื่อปรากฏพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีในราชกิจจานุเบกษาซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 8 กันยายนเป็นต้นไป
ยิ่งถือว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถูก”รุก”ในทางการเมืองต่อเนื่อง รุนแรง หนักหน่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
การออกมาแสดง”ใบลา” การออกมา”แถลง”และให”สัมภาษณ์” ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จึงถูกประเมินว่า”จนตรอก”
เป็นอาการแทบไม่ต่างไปจากที่ประกาศ”มันคือแป้ง”ดังก้อง
จึงไม่แปลกที่บรรดาเกจิผู้เชี่ยวชาญทางการเมืองจะมองและประเมินว่า อนาคตทางการเมือง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ได้จบแล้ว
แต่ที่ไม่ควรลืมอย่างเด็ดขาดก็คือ สภาพการณ์อย่างที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประสบได้รับการสรุปอย่างรวบรัดตามสำนวนไทยแต่โบราณว่าเป็นลักษณะ”จนตรอก”
ในความเป็นจริง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็เคยประสบชะตากรรม”จนตรอก”มาแล้วหลายครั้ง
ตั้งแต่ยังครองยศเป็น ร.ต.และถูกจับกุมคุมขังที่ออสเตรเลียด้วยข้อหานำเข้ายาเสพติด กระนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ยังสา มารถพลิกฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างที่เห็นๆกันอยู่
ไม่เพียงแต่จะอยู่ในฐานะ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กลายเป็น ผู้กองคนดังในหมู่นายทหารรุ่นใหม่ หากทะยานทางการเมืองสูงเด่น
กลายเป็น ส.ส.กลายเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
ภายใต้แถลงของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คือคำประกาศที่จะหวนคืนไปสู่รากฐานอันเป็นเหมือนกระดานหกทางการเมืองจากการเลือกตั้ง เมื่อเดือนมีนาคม 2562
นั่นก็คือ จังหวัดพะเยาและจังหวัดภาคเหนือตอนบน
สถานะของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ สถานะแห่งการเป็น ส.ส.และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
กลายเป็นคำถามตรงไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ