เผยแพร่ |
---|
เหมือนกับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรต่อญัตติด่วนตั้งคณะ กรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากการประกาศและคำสั่งของคสช.และการใช้อำนาจของคสช.ตามมาตรา 44
จะเป็นชัยชนะในทางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ เพราะญัตตินี้เสนอโดย นายปิยบุตร แสงกนกกุลและคณะจากพรรคอนาคตใหม่
อาจเป็นเช่นนั้น
แต่หากพิจารณาจากจำนวน 236 ต่อ 231 ที่ให้ความเห็นชอบกับ ญัตติก็เท่ากับยืนยันว่า ชัยชนะครั้งนี้มาจากการสนับสนุน 1 จากพรรค ร่วมฝ่ายค้านด้วยกัน
และ 1 จาก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอญัตติคล้ายๆกันเข้ามาและพิจารณาร่วมกัน
บทเรียนครั้งนี้สะท้อนนัยยะอะไรในทางการเมือง
บทเรียนแรกที่สุดก็คือ การตระเตรียมเป็นอย่างดีของพรรคอนาคตใหม่ โดยมี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นหัวรถจักร
ตระเตรียมเนื้อหาและตระเตรียมเรื่องในทาง”ความคิด”
ตลอดจนการทำ PR ก่อนจะเริ่มญัตติและก่อนที่จะมีการลงมติดำเนินไปด้วยความคึกคัก
แต่อย่าลืมเป็นอันขาดว่าพรรคอนาคตใหม่มีเพียง 81 และมีอยู่ 2 คน(เจ้าเก่า)ที่โหวตสวนมติ จำนวน 236 ที่ได้มาด้านหลักจึงเป็นของพรรคร่วมฝ่ายค้านและบางส่วนจากพรรคประชาธิปัตย์
ยิ่งกว่านั้นในห้วงแห่งการต่อสู้ภายหลังจากนั้นต้องยอมรับว่าคนจากพรรคเพื่อไทยมีความจัดเจนมากกว่าในการเล่นลูกล่อลูกชนกับคนจากพรรคพลังประชารัฐ
เด่นชัดยิ่งว่า หากพรรคอนาคตใหม่ไม่ได้พันธมิตรแห่งแนวร่วมก็ยากอย่างยิ่งที่จะได้มา 236 เสียง
จากนี้จึงเด่นชัดว่า ไม่ว่าการขับเคลื่อนประเด็นใดนอกจากการสร้างเอกภาพภายในแล้ว การแสวงหาพันธมิตรในแนวร่วมมีความสำคัญเป็นอย่างสูง
การสันทัดในการแสวงหา”พันธมิตร”ใน”แนวร่วม”จึงเป็นอีกหัวใจหนึ่งของการต่อสู้ในทางการเมือง
เพราะในการเคลื่อนไหวมิได้มีแต่”เรา”ฝ่ายเดียวต้องมี”พวกเรา”
ขณะเดียวกัน สิ่งที่มีอยู่น้อยมากสำหรับพรรคอนาคตใหม่คือความสันทัดในการกระบวนการต่อสู้ในรัฐสภา
นี่คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้ นี่คือสิ่งที่จะต้องสะสม