คำประกาศ”ปิดสวิตช์ คสช.”ด้วยการลงมติให้การสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี

ทระนงองอาจอย่างยิ่ง

คำประกาศเข้าร่วมกับกลุ่มที่ถูกเรียกขานว่าเป็น”ประชาธิป ไตยวิปริต” เพื่อนำไปสู่การสร้างและวางรากฐานให้กับ “ประชาธิป ไตยทุจริต”

ทระนงองอาจอย่างยิ่ง น่าศึกษาอย่างยิ่ง

เพราะว่าเป็นแนวทางอันแตกต่างไปจากที่กลุ่ม”ปิดสวิตช์”ด้วยการไม่สนับสนุนการสืบทอดคสช. การไม่ยอมให้”ประชาธิป ไตยวิปริต”สำแดงบทบาทผ่าน 250 ส.ว.

น่าศึกษาเพราะว่าดำรงอยู่บนฐานแห่งการสำแดงตัวตนว่า เป็น “ประชาธิปไตยสุจริต”

 

ถามว่าหาก 53 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปผนวกตัวรวมกับ 115 เสียงของพรรคพลังประชารัฐ โดยมี 250 ส.ว.อันเป็นตัว แทนแห่ง”ประชาธิปไตยวิปริต”ทอดเงาทะมื่นอยู่

สถานะของ 53 เสียงของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร

แน่นอน พรรคประชาธิปัตย์ตระหนักดีว่า 53 เสียงของตนเป็นพรรคขนาดกลาง เป็นเพียงติ่งหนึ่งภายในรัฐบาลแตกต่างไปจาก 51 เสียงของพรรคภูมิใจไทยไม่มากนัก

ถามว่านโยบายแก้จน สร้างคน สร้างชาติ จะได้รับความสนใจมากน้อยเพียงใด

ถามว่าความเรียกร้องต้องการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างบทบาทของ”ประชาธิปไตยวิปริต”ให้หมดสิ้นไปจะปรากฏ เป็นจริงได้หรือไม่

ในเมื่อบทสรุปร่วมอันดำรงอยู่ภายในพรรคพลังประชารัฐก็คือ “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ DESIGN มาเพื่อพวกเรา”

ในที่สุดแล้วทุกคำประกาศล้วนมีความหมายในสถานะอันเป็นดั่ง”สัญญาประชาคม”

เหมือน”ความชัดเจน”ก่อนการเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม

 

ถามว่าพรรคการเมืองหนึ่ง นักการเมืองหนึ่ง เราดูจากแถลงการณ์ เราดูจากคำประกาศแค่นั้นหรือ

ไม่ใช่ว่าเราต้องดูจากการปฏิบัติ ดูจากการลงมือทำ

คำประกาศของพรรค”ประชาธิปไตยสุจริต”จึงต้องดูว่าพรรคอันเป็นตัวแทน”ประชาธิปไตยวิปริต”จะเห็นด้วย ทำตามหรือไม่

เมื่อท่านพูดประชาชนฟัง เมื่อท่านลงมือทำ ประชาชนจะเชื่อ