เผยแพร่ |
---|
แม้จะเคยผ่านสถานการณ์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 มาด้วยกัน แต่เมื่อมาถึงสถานการณ์หลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
มุมมองต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ของหลายคนในแวดวงทางการเมืองก็แตกต่างกัน
ยกตัวอย่างเพียง 2 คนก็น่าจะพอ
นั่นก็คือ มุมที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มองแตกต่างไปจากมุมที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มอง
ไม่ว่ามุมต่อ “รสช.” ไม่ว่ามุมต่อ “คสช.”
นั่นก็เพราะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มองจากภายนอก นั่นก็เพราะ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน มองจากภายใน
จุดที่ยืนมองจึงทรงความหมาย
ต้องยอมรับในสถานการณ์ภายหลังรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2534 และภายหลังการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2535
พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ อยู่กันคนด้าน
พรรคกิจสังคมที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สังกัด เข้าร่วมเป็นส่วนประกอบของรัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร
ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สังกัด ถูกกวาดไปรวมอยู่กับพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม
จึงมองเข้าไปภายในรัฐบาลของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ว่าไม่น่าจะยืนยาว
ตรงกันข้าม แม้ระหว่างจัดตั้งรัฐบาล นายมนตรี พงษ์พานิช พี่ใหญ่ของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะประสบเข้ากับสภาพที่คสช.บางคนพกพาอูซี่เข้าไปในโต๊ะเจรจา
แต่พรรคกิจสังคมก็ยังรับตำแหน่งเป็น”รัฐมนตรี”
มาถึงหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ไม่มีใครแน่ใจว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะสรุปมาเป็น บทเรียนทางการเมืองอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีว ยืนยันไม่เอานายกรัฐมนตรีคนนอก
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ และเข้าร่วมปฏิบัติการ”พลังดูด” อย่างเอาการเอางาน
ใครถูก ใครผิด หลังการเลือกตั้งมี “คำตอบ”