เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าจะเป็น”อารมณ์”ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ว่าจะเป็น”อา รมณ์” ของ นายชัยธวัช ตุลาธน ณ เดือนมกราคม 2565 หวนกลับไป เหมือนกับ”อารมณ์”เมื่อเดือนมีนาคม 2562 อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเผชิญเข้ากับสถานการณ์การเลือกตั้ง”ซ่อม”ในพื้นที่ เขต 9 จตุจักร หลักสี่ แห่งกรุงเทพมหานคร
1 ใจเต้นตุ้มๆต่อมๆ 1 มีทั้งความมั่นใจ 1 มีทั้งความกังขา
ความรู้สึกเช่นนี้ดำเนินไปเหมือนกับอารมณ์และความรู้สึกก่อน การเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไปเมื่อเดือนมีนาคม 2562 เมื่อทอดตา มองไปยังพรรคอนาคตใหม่
รับรู้ในความสดใหม่ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และของ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แต่ก็ไม่แน่ว่าความสดใหม่นี้จะเป็นที่ต้องการในทางการเมืองหรือไม่
บทสรุปของ”เกจิ”การเมืองแตกต่างกับบทสรุป”คนรุ่นใหม่”
คำถามก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับ นายชัยธวัช ตุลาธน จะทำให้เกิดสถานการณ์เหมือนเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ได้หรือไม่
คำตอบจึงอยู่ที่คะแนนของ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ
หากฟังจากน้ำเสียงของ นายรังสิมันต์ โรม แม้จะยังไม่กล้าฟันธงว่าชัยชนะจะต้องเป็นของ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ อย่างแน่นอนชนิดร้อยละร้อย
แต่ก็ประกาศด้วยความมั่นใจว่าพรรคก้าวไกลต้องได้คะแนน มากกว่าเมื่อเดือนมีนาคม 2562
แม้จะไม่ได้อันดับ 1 แต่อย่างน้อยก็ควรจะเป็นอันดับ 2
มองจากบรรทัดฐาน”ถ่อมตัว”ของพรรคก้าวไกล หาก นายกรุณ พล เทียนสุวรรณ ได้คะแนนมากกว่า 25,000 คะแนนก็ถือว่ากำไร แม้จะยังไม่ทะยานไปถึง 30,000 กว่าคะแนนก็ตาม
เป็นไปได้ว่าความเชื่อมั่นลึกๆของพรรคก้าวไกลก็คือประเมินว่า
ชัยชนะน่าจะเป็นของพรรคเพื่อไทยมากกว่าพรรคพลังประชารัฐ
ประเมินผ่านการเคลื่อนไหวของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประสานเข้ากับความขยันอย่างต่อเนื่องของ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สะ ท้อนว่าพรรคก้าวไกลมาดหมายสูงอย่างยิ่ง
มิได้ต้องการเพียงอันดับ 2 หากต้องการทะยานไปยังอันดับ 1
ปมเงื่อนอยู่ตรงที่คนของพรรคก้าวไกลสามารถแปรความหวัง ของตนให้กลายเป็นความหวังของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้หรือไม่
หากทำได้อย่างคึกคักนั่นย่อมหมายถึง”ชัยชนะ”ตามเป้าหมาย