เผยแพร่ |
---|
แท้จริงแล้ว สถานการณ์ของ”รัฐธรรมนูญ” กำลังกลายเป็น”เส้นแบ่ง”อย่างสำคัญยิ่งในทางการเมือง
จะเข้าใจบทสรุปนี้ต้องอย่าลืมว่าใครคือผู้”จุดกระแส”
เด่นชัดอย่างยิ่งว่า ความเรียกร้องต้องการให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมหรือแม้กระทั่ง”ยกร่าง”ขึ้นใหม่ เป็นความเรียกร้องต้องการที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศและบังคับใช้มาแล้ว
นั่นก็คือ เมื่อเดือนเมษายน 2560
ยิ่งในห้วงแห่งการรณรงค์หาเสียงเพื่อสร้างคะแนนนิยมในการเลือกตั้งเดือนมีนาคม 2562 เกือบทุกพรรคการเมืองยกเว้นพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคประชาชนปฏิรูป
ล้วนแล้วแต่เสนอต่อประชาชนว่าจะเข้าไปเพื่อแก้ไขและเพิ่มเติม ตั้งความหวังว่า “นโยบาย”เช่นนี้จะสามารถสร้างความความนิยมและแปรเป็น”คะแนนเสียง”ได้
แม้ภายหลังการเลือกตั้งความต้องการโดยพื้นฐานนี้ก็ยังมีอยู่
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองไม่สามารถจุดประกายและเป็น”กระแส”ในทางสังคมได้อย่างเป็นจริง
คำถามก็คือ กระแส”รัฐธรรมนูญ”เกิดขึ้นได้อย่างไร
ต้องยอมรับว่า จุดเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญก็คือ การชุมนุมของ ”เยาวชนปลดแอก” ณ บริเวณโดยรอบพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อเดือนกรกฎคม 2563 ได้จุดประกายขึ้น
แม้จะเป็นเพียงจุดเล็กๆจากเยาวชนจำนวนไม่กี่ร้อยคน แต่ด้วยเวลาอันรวดเร็วกระแส”รัฐธรรมนูญ”นี้ก็ถือได้ว่าจุดติด
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพรรคฝ่ายค้านร่วมที่มีความเรียกร้องต้อง การโดยพื้นฐานอยู่แล้ว หากที่สำคัญคือพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะ พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมี”พันธะ”ในเชิง”อุดมการณ์”
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคเดียวในรัฐบาลที่เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น”เงื่อนไข”ในการเข้าร่วม จึงอาศัยกระแสจากการเมืองข้างถนนไปกดดันต่อพรรคร่วมรัฐบาลอื่น
การเสนอร่างพรบ.แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงได้เกิดขึ้น แต่แล้วก็ถูกล้มคว่ำโดยมือของพรรคพลังประชารัฐและ 250 ส.ว.
สภาพความเป็นจริงนี้จำหลักอย่างหนักแน่นอยู่ในการเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นความจริงจาก”เยาวชนปลดแอก” ไม่ว่าจะเป็นความจริงจาก 250 ส.ว.และ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
ถามว่าความเป็นจริงในด้านของ”เยาวชนปลดแอก” ความเป็นจริงในด้านของ”การเมืองบนถนน”จะหายไปอย่างหมดสิ้นละหรือ
ที่บอกว่า “มันจบแล้ว”จึงไม่แน่ว่าเป็นการจบหรือเริ่มบทใหม่