เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าความเชื่อที่ว่า “ต่อให้เรียกไอ้คนที่อยู่เมืองนอกกลับมาก็ทำไม่ได้” ไม่ว่าคำถามที่ว่า “จะเอาผมแบบนี้ หรือจะเอาผมแบบก่อน”
นี่คือสภาพที่คำพระเรียกว่า “วาสนา”
นี่คือสภาพที่นักจิตวิทยาในสกุล ซิกมุนด์ ฟรอยด์ เรียกว่า “จิตใต้สำนึก”
ที่ว่าเป็น”วาสนา”มาจากการหมกมุ่นครุ่นคิดในสิ่งที่ตนเคยกระทำ ไม่ว่าจะเป็นในห้วงก่อนและหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นในห้วงก่อนและหลังรัฐประหารเดือนพฤษภาคม 2557
นั่นก็คือ เกิดความคิดเปรียบเทียบ และรู้สึกว่าตนเองดีกว่า เหนือกว่าอีกฝ่าย จึงได้ตามมาด้วยประโยค
“จะเอาผมแบบนี้ หรือจะเอาผมแบบก่อน”
คำว่าแบบนี้คือแบบที่ดำรงอยู่ภายหลังการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนา คม 2562
แบบก่อนคือหลังรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557
การมาในห้วงแห่งได้ชัยชนะในการรัฐประหาร เป็นการมาพร้อมกับเสียงเพลง
“เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา เราจะทำอย่างซื่อตรง ขอแค่เธอจงไว้ใจและศรัทธา
แผ่นดินจะดีในไม่ช้า ขอคืนความสุขให้เธอประชาชน”
เวลาผ่านมา 5 ปีกว่า พลันที่ประสบเข้ากับภาวะน้ำท่วมทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คำมั่นสัญญาที่ว่า”แผ่นดินจะดีในไม่ช้า”ก็หวนกลับมาตั้งคำถาม
เสียงบ่นที่ดังระงมไม่ว่าจากคนที่เคยเชียร์อย่างพระเอกบิณฑ์ ไม่ว่าจะตามเพจต่างๆคือคำตอบที่ดีที่สุด
คำตอบถึงผลงานความสำเร็จของ”รัฐบาล”
ความเจ็บปวดภายในหัวอกจึงปะทุออกมาถึงกับร้องถึง”ไอ้คนที่อยู่เมืองนอก” ไม่ว่าจะเป็นคนพี่ ไม่ว่าจะเป็นคนน้อง จึงดังก้องกังวานขึ้นจาก”วาสนา”อันเป็นอนุสัย
ขณะเดียวกัน “จิตใต้สำนึก”ลึกเร้นจึงนำไปสู่การตั้งคำถาม
“จะเอาผมแบบนี้ หรือจะเอาผมแบบก่อน” นั่นก็คือ ก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562
นั่นคือการส่งสัญญาณ”รัฐประหาร”อีกครั้งหนึ่ง
เหมือนกับเดือนกันยายน 2549 เหมือนกับพฤษภาคม 2557