หากดูข่าวการเยือนจีนและการเข้ารับตำแหน่งประธานบอร์ดบริษัทบริหารท่าเรือที่ซัวเถา มณฑลกวางตุ้ง ของ 2 พี่น้องตระกูล ชินวัตร

ก็จะอ่าน”เกม”ออกว่า ภาพที่ต้องการโชว์มิใช่ นายทักษิณ ชิน วัตร หากแต่เป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เพราะ นายทักษิณ ชินวัตร อาจ”เก่า”

เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร ออกจากประเทศไปนับแต่สถานการณ์รัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 นานมากกว่า 13 ปีแล้ว

ตรงกันข้าม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังสดๆใหม่ๆจากรัฐประ หารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

และเพิ่งออกไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 สดๆซิงๆ

 

การตัดสินใจเลือก คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มาเป็นประธาน คณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย จึงดำเนินไปในลักษณะ เชื่อมร้อย ต่อเนื่อง

สะท้อนให้เห็น “พลัง” ในแนวทาง”หญิงสู้ หญิงชนะ”

โดยมีบุคคลอย่าง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระ นอง และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มาแวดล้อม

เหล่านี้ล้วนเคยร่วม “ครม. ยิ่งลักษณ์”

แม้กระทั่งการแยกทัพไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติก็มิได้เป็นคนอื่นไกล

มองเห็น”บารมี” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอย่างเต็มเปี่ยม

ชะตากรรมที่คสช.กระหน่ำเข้าใส่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในห้วงนับแต่รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ต่างหากที่จะเป็นประเด็นในการเพาะสร้างคะแนนนิยม

ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าพรรคไทยรักษาชาติ ไม่ว่าพรรคประชาชาติ ไม่ว่าพรรคเพื่อชาติ

การชูตำแหน่งในซัวเถาจึงมีนัยะแหลมคมยิ่งทางการเมือง

 

หากในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 พรรคประชาธิปัตย์ ต้องประสบกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แล้วพ่ายแพ้

การเลือกตั้งในปี 2562 ก็แทบไม่แตกต่าง

เพียงแต่เปลี่ยนจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็น คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ซึ่งเขี้ยวเล็บทางการเมืองแข็งแกร่ง แหลมคม มากยิ่งกว่า

นี่คือสิ่งที่คสช.และพรรคพลังประชารัฐจะต้องเผชิญสู้