พลันที่ปรากฏ “ข้อความ” จาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏผ่านโซเชียล มีเดีย

“ทราบว่าท่านนายกไปพื้นที่จังหวัดระนอง

พบคนชื่อยิ่งลักษณ์ และบอกว่าให้คนที่ชื่อยิ่งลักษณ์ทำให้ถูกก็แล้วกัน เลยขอถามท่านอดีตผบ.ทบ.ว่ายังจำชื่อนี้ได้อยู่เหรอคะ”

และเมื่อ “ข้อความ” นี้ย้ายจากพื้นที่ของโซเชียล มีเดีย เข้าไปอยู่ในพื้นที่ของ “หนังสือพิมพ์” และ “โทรทัศน์”

ประสานกับคำตอบโต้จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

บทบาทนิ่มๆของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็แปรเป็น”อาวุธ”แผ่พลานุภาพขึ้นโดยอัตโนมัติ

เป็นอานุภาพในแบบของ Soft Power

 

ไม่ว่า “ปฏิกิริยา” อันมาจากคำพูดที่ระนองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีพื้นฐานมาอย่างไร

แต่ได้ถูกแปรเป็นการปะทะขึ้นโดยอัตโนมัติ

ในเมื่อท่าทีและท่วงทำนองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินไปในแบบ Hard Power

กระบวนท่าแบบ Soft Power จึงถือว่าเหมาะสม

ยิ่งเป็นการสื่อสารไปยัง “อดีต ผบ.ทบ.” ยิ่งมากด้วยความลึก ซึ้ง ในการตีความ

เป็นสถานการณ์ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557

เป็นสถานการณ์ซึ่งช่วงชั้นที่คนหนึ่งอยู่ในฐานะ”นายกรัฐมน ตรี” คนหนึ่งอยู่ในฐานะ”ผบ.ทบ.”

มองจากความจัดเจนแบบ”สามก๊ก”ถือว่า”ร้ายกาจ”

ต้องยอมรับว่าการสู้รบครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เลือกเอง เลือกที่จะเข้าไปใน”สมรภูมิ”ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ใครแพ้ ใครชนะ ประเมินไม่ยาก

 

Soft Power มีความสุภาพ นุ่มนวล อ่อนหวาน เป็นอาวุธ ดำ เนินไปเหมือนสายน้ำ ดำเนินไปเหมือนกับเปลวไฟ

สายน้ำมีความอ่อนไหวแต่ก็พัง”เขื่อน”ได้ เปลวไฟ แลบลิ้นยาว ตลบม้วนไป ณ ที่ใด ก็จะสามารถเผา ผลาญให้ราบลงได้

      อย่าลืมว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย