เผยแพร่ |
---|
ไม่ว่าการแจ้งความกล่าวโทษและลงมือจัดการพระระดับ”พรหม”ถึง 3 รูปในคดี “เงินทอน”
ไม่ว่าการออกคำสั่งพศ.ที่ 6001/06036
มากด้วยความละเอียดอ่อน มากด้วยผลสะเทือนอันจะตกกระทบไปยัง “ศาสนจักร”อย่างลึกซึ้ง
ทะลวงเข้าถึง “แกนกลาง” พระพุทธศาสนา
ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดกรณีอดีต พระพรหมเมธี ต้องลี้ภัยไปยังต่างแดน
หากแต่ยังมี 2 ระดับ”พรหม”ถูกจำขัง
ยิ่งกว่านั้น คำสั่งพศ.ที่ 6001/06036 ยังสะท้อนให้เห็นความ อ่อนแอ ปวกเปียก อย่างถึงที่สุดของ “สถาบันสงฆ์”
ท้าทาย บทบาท “มหาเถรสมาคม”
เหมือนกับว่า คำสั่งพศ.ที่ 6001/06036 คือ การขยายผลเพื่อมิให้เกิดกรณี”เงินทอน”ขึ้นอีก
เพราะชื่อเต็มของ “คำสั่ง” คือ
ขอข้อมูลวัดที่มีการวางระบบเกี่ยวกับการจัดการด้านการเงินและบัญชีของวัด
นั่นก็คือ แตะตรงไปยัง “เงินวัด”
ดำเนินไปบนพื้นฐานที่ว่า พศ.ต้องการหา “ตัวอย่าง”ที่พระไม่จับเงินซึ่งเป็นไปตามพระวินัยปิฎกที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า
ไม่ให้พระภิกษุรับ ใช้ให้คนอื่นรับ หรือแม้กระทั่งยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้ให้ตน
รวมถึงอะไรก็ตามที่มีค่าในการแลกเปลี่ยนซื้อ ขายได้
เช่น ธนบัตร เหรียญ เช็ก บัตรกดเงินสด บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต การรับเงินทอง จึงเป็นการผิดพระวินัยและอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่พระภิกษุที่รับ
เท่ากับแทงทะลวงเข้าไปภายใน”ศาสนจักร”
แม้จะผ่านการประชุมมหาเถรสมาคมเมื่อวันที่ 11 มิถุนายนที่ผ่าน มา แต่ก็ไม่มีท่าทีใดจาก “คณะสงฆ์”
ทุกอย่างตกอยู่ในภาวะอึมครึม
สะท้อนให้เห็นอาการนะจังงัง สะท้อนให้เห็นถึงความงุนงง สงกา เหมือนๆกับกรณี”เงินทอน”
ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับ”สถานการณ์”นี้อย่างไร