เผยแพร่ |
---|
เดือน 4 พิธีตรุษ สิ้นปีเก่า ตามคติพราหมณ์ รับจากอินเดียลังกา
มีบอกในกฎมณเฑียรบาล ยุคอยุธยาว่า สัมพัจฉรฉินท์ (ในสมุดข่อยเขียนว่า “เดือน 4 การสํพรรษฉิน”) หมายถึงพิธีสิ้นปี โดยไม่มีพรรณนารายการละเอียดเหมือนเดือน 5 สงกรานต์ แต่มีในคำให้การชาวกรุงเก่า ดังนี้
“เดือน 5 พระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาโปรดให้นิมนต์พระสงฆ์เข้ามาเจริญพระพุทธมนต์ 3 วัน และสวดอาฏานาฏิยสูตร
เวลาสวดมนต์นั้น พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาทรงพระมหามงคลอันผูกต่อกับสายสิญจน์ ครั้นถึงวันคำรบ 3 ซึ่งสวดอาฏานาฏิยสูตร เจ้าพนักงานยิงปืนใหญ่น้อยรบทั้งกำแพงพระราชวังและกำแพงพระนคร
เมื่อเสร็จการพิธีแล้ว ให้เชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์สรรพาวุธมาประน้ำมนต์และประน้ำมนต์ช้างต้นม้าต้นด้วย เป็นเสร็จการพระราชพิธี 12 ราศี ซึ่งมีตามตำรากรุงศรีอยุธยาเพียงเท่านี้”
สิ้นปี ตัดปี
หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือนของ ร.5 อธิบายว่า สัมพัจฉรฉินท์ “เป็นการพิธีประจำปีสำหรับพระนคร ทำเพื่อจะให้เป็นสวัสดิมงคลแก่พระนครและพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายใน ตลอดจนราษฎร”
“สัมพัจฉรฉินท์” หมายถึง สิ้นปี ตัดปี (เก่า) มีรากศัพท์จากภาษาบาลี-สันสกฤตว่า สัมพัจฉร แปลว่า ปี, ฉินท แปลว่า ตัด ขาด รวมความแล้วเป็นพิธีตัดปี, สิ้นปี
มีคำเรียกเฉพาะการตัดปีว่าตรุษ หมายถึงพิธีกรรมสิ้นปีจันทรคติ ทำเมื่อสิ้นเดือนสี่ มีประเพณีทำบุญเลี้ยงพระ ดังพรรณนาไว้ในทวาทศมาส โคลงดั้น ยุคต้นกรุงศรีอยุธยา กับนิราศธารโศก กาพย์ห่อโคลงของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ (กุ้ง) ยุคปลายกรุงศรีอยุธยา ดังนี้
๏ ฤดูเดือนสี่ซั้น มาดล แม่ฮา
ตรุษโตรษเรียมแดยัน ด่าวดิ้น
(ทวาทศมาส)
๏ เดือนสี่พิธีตรุษ เจ้างามสุดผุดผาดดี
ชำระพระชินสีห์ หมดผงเผ่าข้าวบิณฑ์ถวาย ฯ
๏ การบุญผคุณมาศน้อง นารี
ขาวสุดผุดผาดดี ส่องแก้ว
ชำระสระสรงสี พุทธรูป
ผงเผ่าเถ้าหมดแล้ว แต่งข้าวบิณฑ์ถวาย
(นิราศธารโศก)
คติเดือนสี่สิ้นปีเก่า (เพื่อขึ้นปีใหม่เดือนห้า-สงกรานต์) สืบมาถึงยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีบอกในวรรณกรรมอย่างน้อย 2 เรื่อง ดังนี้
นิราศเดือน ของนายมี (หรือเสมียนมี หรือหมื่นพรหมสมพัตสร) กวีสมัย ร.3 เขียนว่า “ถึงเดือนสี่ปีสุดถึงตรุษใหม่” ซึ่งเท่ากับยกเอาพิธีพราหมณ์ผนวกเป็นพิธีพุทธเรียบร้อยนานแล้ว
ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศ วรรณกรรมสมัย ร.3 ถึงระบุชัดๆ ว่า “ครั้นเดือน 4 ถึงการพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์ โลกสมมุติ เรียกว่า ตรุษฝ่ายพุทธศาสน์…” ต่อจากนั้นพรรณนาว่าประเพณีสำคัญตรงนี้คือ มีสวดมนต์เย็น “เจริญพระอาฏานาฏิยสูตร” มีโรยทรายรอบพระราชนิเวศน์เป็นสัญลักษณ์ป้องกันอาถรรพณ์ต่างๆ แล้วมีการละเล่น “เหล่านักเลงก็เล่นมหรสพเอิกเกริกสมโภชบ้านเมืองเป็นการนักขัตฤกษ์ บรรดานิกรประชาราษฎรชายหญิงก็แต่งตัวนุ่งห่ม ประดับกายอ่าโถง พากันมาเที่ยวดูแห่ดูงาน นมัสการพระในวันสิ้นปีแลขึ้นปีใหม่เป็นอันมาก”
นี่คือคติพราหมณ์ที่ถูกแปลงเป็นพุทธ ฟักตัวอยู่ในราชสำนักก่อนยุคกรุงศรีอยุธยา ต่อจากนั้นส่งอิทธิพลแพร่หลายสู่ราษฎร ให้ถือคติเดือนสี่ตรุษสิ้นปีเก่า เดือนห้าสงกรานต์ขึ้นปีใหม่
ปัจจุบันประเพณีตรุษสิ้นปีเก่าหายไป คงเหลือแต่สงกรานต์ขึ้นปีใหม่ในคติจากอินเดีย