ฟ้า พูลวรลักษณ์ : หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (137) : กฎพื้นฐานมนุษย์

ฟ้า พูลวรลักษณ์

ในทางการเมือง ฉันเจอคนสองกลุ่ม

กลุ่มที่วันๆ คอยจับผิดระบอบประชาธิปไตย และเพราะประชาธิปไตยไม่ได้ perfect มันต้องมีสิ่งให้จับผิดอยู่แล้ว มีเรื่องให้พูดให้เขียนได้ทุกวัน แต่สังเกตให้ดีจะพบว่ามันซ้ำไปซ้ำมา ไม่มีอะไรใหม่ในนั้น นอกจากความอยากจับผิด

กลุ่มที่วันๆ คอยจับผิดระบอบเผด็จการ ฉันเป็นฝ่ายประชาธิปไตย แต่การนั่งฟังการจับผิดระบอบเผด็จการ มันก็น่าเบื่อ ฟังร้อยครั้งก็พอได้ แต่มากกว่านั้นก็ไม่มีอะไรใหม่เช่นกัน

ฉันเชื่อในความไม่เที่ยงแท้มาตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุมากขึ้น ฉันก็ยิ่งเห็นความไม่เที่ยงแท้นั้น มันปรากฏขึ้นรอบตัวของฉัน เป็นคลื่น สถานที่ที่ฉันเคยไป วันนี้ไม่เหมือนเดิม แม้แต่ดาดฟ้า สนามบาสเก็ตบอล ระเบียง ทางเดินแคบๆ มันก็ไม่เหมือนเดิม

สิ่งที่ต่างนั้น มันจับต้องได้ยาก มันเป็นเหมือนการสั่นไหวของคลื่น ฉันรู้แต่ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม

หากรอบตัวของฉันไม่ได้สั่นไหวด้วยคลื่น ชีวิตนี้คงง่าย เพราะถูกผิดชัดเจน ฉันรู้ว่าควรทำอะไร ชีวิตช่างมีความสุขเหลือเกิน แต่พอมันสั่นไหว เราจะสับสน งุนงง และเราจะไม่รู้จริงๆว่าควรทำอะไร ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ ยิ่งเดินก็ยิ่งหลง

อยู่เฉยๆ อาจจะเลวร้ายน้อยที่สุด

พ่อของฉันอายุเก้าสิบปี เขาเป็นคนหัวเก่า แต่เขาไม่ได้โง่เลย ที่จริงเขาเป็นคนฉลาดเป็นอันมาก แต่จะให้คนอายุเก้าสิบไม่ติดยึดในความคิดแบบเก่า คงเป็นไปได้ยาก จะว่าเขาผิดได้อย่างไร หลายเรื่องเราคุยกันไม่ได้ ขนาดเป็นพ่อลูกกัน สนิทสนม และไว้วางใจกัน ฉันยกตัวอย่างนี้เพราะ แล้วคนอื่นอีกมากในสังคมที่คิดต่างกับฉัน พวกเขามากมายก็มีที่มา มีอดีต ไม่โง่และก็ไม่ผิด

ฉันมีพี่น้องเจ็ดคน ความคิดแตกต่างกัน หากสมมติเราเจ็ดคนมีกติกาว่า ทุกปัญหาเราจะใช้วิธีประชาธิปไตย คือการโหวดเสียง มันแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ดี

แต่ทว่า หากในนั้นมีสี่คนรวมตัวกันเป็นพวกเดียวกัน ทุกครั้งพวกเขาสี่คนก็จะชนะอีกสามคน แม้ในกรณีที่พวกเขาจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม นี้คือปัญหาที่บางยุค เราทนเผด็จการในรัฐสภาไม่ได้ มันเป็นจุดอ่อนของระบอบประชาธิปไตย ที่ก่อให้เกิดเผด็จการในอีกรูปแบบหนึ่งได้

และคนที่ทนไม่ได้ ก็จะใช้วิธีนอกประชาธิปไตย ซึ่งก็คือวิธีการใช้กำลัง คนสามคนอาจโหวดเสียงแพ้ แต่หากใช้กำลังก็ไม่แน่ คนสามคนอาจแข็งแรงกว่า ดุดันกว่า

หากดำเนินการตามหลักประชาธิปไตย คนสามคน ควรใช้การเจรจา การใช้เหตุผล หว่านล้อมเปลี่ยนใจหนึ่งในสี่คนฝ่ายตรงข้าม ซึ่งทำได้ ด้วยความอดทน หากเขาหรือเธอเปลี่ยนใจ ก็จะโหวดเสียงชนะได้ ไม่จำเป็นต้องหันมาใช้วิธีป่าเถื่อน ซึ่งยิ่งเดิน ยิ่งเข้าป่าเข้าพง ยิ่งไม่มีกติกา มันจะเกิดการทำรัฐประหาร และย้อนยุคกลับไปห้าสิบปี หรือหนึ่งร้อยปี

พี่น้องเจ็ดคน ก็ไม่ต่างกันประชาชนคนไทยเจ็ดสิบล้านคน หากมีคนไทยสามสิบล้านคนไม่พอใจคนอีกสี่สิบล้านคน และเรียกร้องรัฐประหาร มันเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลา ที่จริงการเปลี่ยนใจคนอีกสิบล้านคน ทำได้ ด้วยความอดทนนิดหน่อย ส่วนคนแก่อายุเก้าสิบ หากเปลี่ยนใจเขาไม่ได้ ก็ต้องรอคอยให้เขาหมดอายุไปเอง มันเป็นกฎธรรมชาติ

การรอคอยนี้คือคุณธรรม คือความกตัญญู ลูกก็ต้องรักพ่อแม่ ไม่เห็นด้วยก็ต้องหยุดรอ หากพ่ออายุยืนกว่าลูก ก็ไม่เป็นไร ลูกตายก่อน

สังคมและการเมือง เป็นเรื่องพลวัต

พลวัตขึ้นกับตัวแปรหลายตัว มันไม่ได้แบนราบ ไม่ได้มีมิติเดียว ที่จริงแล้ว มันเป็นเรื่องของ

๑ สัมพันธภาพของคนต่อคน

๒ สัมพันธภาพของคนต่อสภาพแวดล้อม

๓ สัมพันธภาพของคนที่มีต่อหลักธรรม

สองข้อแรกเข้าใจได้ง่าย

ข้อสามอาจชวนงุนงง เพราะเป็นนามธรรมเหลือเกิน แต่มันจริง จริงเพราะมนุษย์มีจิตวิญญาณ

ในสมันโบราณ ที่เกิดศึกสงคราม สิ่งที่ฆ่ามนุษย์มากกว่าหอกดาบ คือโรคภัยไข้เจ็บและความอดอยาก เพราะเมื่อสงครามมาถึง ชาวไร่ชาวนาก็ไม่มีเวลา ไม่มีใจเพาะปลูก ชาวนาที่ไม่โดนเกณฑ์ไปเป็นทหาร ถึงทำนาก็ไม่ได้ผล เพราะยังไม่ทันได้เก็บเกี่ยวก็โดนโจรผู้ร้ายปล้นฆ่า ต้องหลบหนีกระเซอะกระเซิง คนที่อดอยาก ก็ไร้ภูมิต้านทานโรค

ในเมืองจีนสมัยก่อน ยามที่แบ่งเป็นหลายสิบก๊ก ก็เกิดความอดอยากไปทั่วแผ่นดิน แต่มีบางก๊กไม่อดอยาก เพราะพวกเขากินเนื้อคน กองทัพที่กินเนื้อคนพวกนี้ หาอาหารได้ง่าย เพราะสามารถกินศพ หรือจับเชลยมากิน รบชนะก็มีเชลยมากมาย หรือจับชาวบ้านมากินก็ได้ ในขณะที่ก๊กอื่นอิดโรย พวกเขากลับอิ่มหมีพีมัน หากมองแบบนี้ ก๊กนี้น่าจะชนะสงคราม แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีกองทัพกินเนื้อคนที่ชนะสงครามเลย

เพราะแม้พวกเขาจะอิ่มหนำ ไม่อ่อนแรง แต่ทว่ามันไปละเมิดหลักธรรมพื้นฐานของมนุษย์ ท้ายสุดกองทัพนี้ก็จะสิ้นสูญความเป็นมนุษย์ พวกเขาจะไม่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่สามารถคิดอะไรได้ลึกซึ้ง พวกเขาจะกลายเป็นกองทัพซอมบี้ จะเป็นที่รังเกียจ ชิงชัง จากทุกคน และจะถูกทำลายล้างอย่างน่าอนาถ จะถูกรุม ความเสื่อมในจิตใจของพวกเขาจะเริ่มจากทุกจุด จากทุกพลทหาร รวมไปถึงแม่ทัพนายกอง

คล้ายหนึ่งจะฉลาดนี้ กลับโง่เขลายิ่งนัก จ้าวก๊กที่ออกคำสั่งให้กินเนื้อคน คือคนที่ฆ่าตัวตาย คนที่ทำลายหลักธรรมพื้นฐานของมนุษย์ คือสิ่งดับสูญ

๑๐ มนุษย์มีกฎพื้นฐานแห่งความเป็นมนุษย์ เราต้องคุ้มครองรักษา และเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ความนิ่งนี้คือ องค์ประกอบที่ทำให้เกิดความเร็วสูงสุด

๑๑ ไม่น่าเชื่อว่ากฎพื้นฐานของมนุษย์ กลับเป็นสิ่งที่ฟังดูยากมาก เช่นการสร้างสรรค์ การค้นคว้าวิจัย มันฟังยาก เป็นอะไรที่ทำยาก จวบจนวันหนึ่งเราเข้าใจว่ามันเป็นสิ่งพื้นฐาน แล้วมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ไม่ได้ลึกซึ้งจนเกินไป เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็นในการอยู่รอด

หากมันยาก ก็ยากเท่าการปลูกข้าว หากมันยาก มันก็ยากเท่าการปอกทุเรียน ก็แค่นั้นเอง