หลุดจากบทบาท-ลบภาพจำ “ปราบต์ปฎล” สู่ตัวตนที่สั่งสมนับ 20 ปี

ชื่อของ ปราบต์ปฎล สุวรรณบาง อยู่ในรายนามนักแสดงไทยมายาวนานร่วม 20 ปี แต่กระนั้นเจ้าตัวก็ยังยอมรับว่าคนทั่วไปนั้นรู้จักเขาในฐานะตัวละครต่างๆ ที่เขาได้สวมบทบาทมาตลอดเสียมากกว่าตัวตนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น “หมู่ขัน” ในละครเรื่อง “ขุนศึก” หรือ “พระชัยบุรี” จากภาพยนตร์ “ตำนานสมเด็จพระนเรศวร”

“ปราบต์ปฎล ไม่มีชื่อบันทึกประวัติในวงการไทย ไม่ค่อยมีใครได้รู้จักสักเท่าไหร่ แต่เมื่อพูดถึงงานชิ้นนั้นชิ้นนี้ ก็จะ อ๋อ! คนที่เล่นเป็นตัวละครเรื่องนี้เรื่องนั้น ต่างๆ นานา ทุกคนจะพูดถึงกันได้ถูกต้อง บางทีก็เรียกชื่อตัวละครไป แต่ไม่รู้จักหรอกว่าคนนี้ชื่ออะไร”

“บอกว่าได้ดู แล้วก็จะมีคำชมว่าเล่นดีนะ” ก็เพียงแค่นั้น-เขาว่า

แต่การได้มารับบท “ขุนหลวงนารายณ์” ในละครบุพเพสันนิวาส นั้น เป็นปรากฏการณ์ทั้งละครและในส่วนของตนเอง เพราะตลอดระยะเวลาที่ทำงานมา ถ้าเปรียบกับการได้ขึ้นเวทีแต่กลับไม่ได้รับแสงสปอตไลต์ส่องมาที่ตนอย่างเต็มที่ เพียงแค่ส่ายผ่านไปมา คนที่ดูผลงานก็จะจำได้เพียงเลือนรางเท่านั้น

“จนมาถึงงานชิ้นนี้มันเหมือนกับเราได้ใช้วิชาความรู้ของเราที่สะสมมาทั้งหมด ความตั้งใจ แล้วก็สิ่งที่ครูบาอาจารย์สอน จนสุดท้ายแล้วมันต้องรอโอกาส แล้วเราก็ได้รับโอกาสคนที่มองเห็นในสิ่งที่เรามี”

โอกาสที่ ใหม่-ภวัต พนังคศิริ ผู้กำกับละครเรื่องดังกล่าวมอบให้

ซึ่งกว่าที่จะได้มานั้น ปราบต์ปฎลบอกว่าต้องต่อสู้กับการลบภาพจำที่หลายคนมองว่าเป็นตัวร้าย หรือเล่นแอ๊กชั่น ละครแนวบู๊มาตลอด ทำให้อาจจะมีความไม่มั่นใจถ้าจะให้ตนมารับบทแนวดราม่าเช่นนี้

“คนไม่ได้เห็นมุมนี้ของเรา ซึ่งเราชอบเล่นดราม่ามาก จริงๆ เราเล่นได้ทุกอย่างแต่ที่ชอบและมีความรู้สึกว่าเราลึกซึ้งแล้วก็มีใจที่เทิดทูน ก็เหมือนหลายๆ คน เรามีความอินกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาก”

“เราก้มลงกราบพี่ใหม่ กอดแก แล้วก็ร้องไห้” ปราบต์ปฎลเล่าให้ฟังถึงวันแรกที่รู้ว่าจะได้เล่นบท

ที่ทำอย่างนั้น เขาก็ว่ามาจากความซึ้งใจที่มีคนมองเห็นในความสามารถและสิ่งที่ตั้งใจทำมานาน แม้ว่าจะไม่เคยได้ประชาสัมพันธ์ให้ใครได้รู้

“วันหนึ่งคนเห็น เราก็ปลาบปลื้ม”

“ทำงานมา 20 กว่าปีเราได้รับคำชม แต่ไม่มีสักครั้งเดียวที่ได้รับการกล่าวถึงหรือมีชื่อเข้าไปเสนอชิงรางวัลแม้แต่ครั้งเดียว”

แต่กับครั้งนี้ กับการได้รับบทสำคัญขนาดนี้ เขาว่า “มันหลุดไปหมดแล้วตรงนั้น”

เพราะ “สิ่งที่ได้รับมันมากมายกว่ารางวัลที่เป็นรูปธรรม”

ด้วยที่เขารู้สึกคือ การได้รับการยอมรับจากคนดูทั้งประเทศ ทั้งฉากการพิพากษา “โกษาเหล็ก” หรือฉากการปะทะคารมกับ “พระเพทราชา”

“เป็นปรากฏการณ์ที่เราได้รับ แล้วก็ถูกบันทึกในฉากที่เราเล่น ว่าเป็นฉากที่ดีที่สุด”

และทั้งหมดนั้นก็ส่งผลให้นักแสดงวัย 49 ปีอย่างเขา เป็นที่รู้จักมากขึ้น กลายเป็นคนที่อยู่ในกระแส

ยิ่งไปกว่านั้นก็คือทำให้เขารู้สึกว่า เสียงชื่นชมที่มีมาก็เปรียบเสมือนรางวัลที่การันตีถึงความสำเร็จกับสิ่งที่เขาตั้งใจทำมาโดยตลอด

บอกยิ้มๆ อีกว่า ก่อนหน้านี้อินสตาแกรมส่วนตัว praptpadol_ppd ของเขานั้น ได้ตั้งค่า “ความเป็นส่วนตัว” ไว้ เพราะอยากอยู่แบบเงียบๆ แต่พอกระแสของละครพุ่งขึ้น ก็เลยเปิดใจมองอีกมุมหนึ่ง ว่าแฟนละครก็อยากจะแสดงความชื่นชมในผลงาน

“ถ้าคุณไปปิดโอกาสเขา ก็เหมือนคุณไปปิดกระจก ก็จะมองไม่เห็นตัวเองในมุมต่างๆ เราเลยเปิดเป็นสาธารณะ”

เมื่อเปิดกระจกในสังคมสะท้อนตัวเอง ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคอยอ่านทุกข้อความ ทุกคอมเมนต์ที่ส่งเข้ามา

“ผมอ่านทุกคอมเมนต์นะ กดไลก์ กดหัวใจให้ทุกคอมเมนต์ พยายามจะนั่งอ่าน แล้วก็ตอบทั้งหมด”

“คำชื่นชมต่างๆ นานาเป็นภาพที่ดีอยู่แล้ว หลายๆ คอมเมนต์เป็นกระจกสะท้อนให้เราไปพัฒนาตัวเอง”

นอกจากนี้ก็ยังทำให้ได้หันกลับมามองตัวเองด้วยว่า “เหลิง” ไปกับกระแสชื่นชมเหล่านั้นหรือไม่

ในความเป็นปราบต์ปฎล จะตอนนี้หรือตอนก่อนหน้านั้น เขาว่าอันที่จริงแล้วก็คือคนปกติทั่วไปคนหนึ่ง

“ก็ง่ายๆ เป็นคนทำงาน และเป็นคนที่รักษาคำพูดเป็นที่สุด”

“สัจจะคือที่สุด”

“แล้วก็รับผิดชอบในสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบของตัวเองอย่างถึงที่สุด”

ทั้งนี้ยังบอกด้วยว่า ความรับผิดชอบที่เขาพูดถึง ไม่ได้หมายเฉพาะแต่เรื่องของตัวเองและครอบครัวเท่านั้น หากยังรวมไปถึงความรับผิดชอบสังคม ที่ผ่านมาจึงมุ่งมั่นอุทิศตัวเพื่อการทำงานอาสาอยู่บ่อยครั้ง

“ทำมานานแล้ว แต่อาจจะไม่มีใครรู้” ปราบต์ปฎลบอก

“ถือเป็นโอกาสที่ดีที่คนได้รู้จักผมมากขึ้น ก็จะฉกฉวยโอกาสนี้ไปต่อยอดในงานอาสาในการที่จะไปช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือ แต่เสียงไม่ดังพอ”

ด้วยเสียงที่พอจะดังขึ้นมาแล้วของเขา