ทวีปที่สาบสูญ / คืนวันเหล่านั้น ที่พ่อพูดเรื่องดอกจำปา

คําเรียกขวัญจบลงแล้ว พร้อมกับแสงเทียนที่ค่อยๆ กะพริบริบหรี่ แล้วมอดไหม้ไปจนขี้ผึ้งเหลวละลายในจานรอง

เย็น…หยาดน้ำมนต์พรมพรูสู่หัว พ่อยกตัวชะโงกหน้า มือจับปลายก้านดอกไม้ จุ่มน้ำขมิ้นส้มป่อยสะบัดใส่หัวลูกสองคน

“สาธุ”

พี่โฟออกปาก ยกมือท่วมหัว

พ่อวางแก้วน้ำมนต์ลง แล้วหย่งตัวไปกดสวิตช์ไฟ

แชะ – แสงสว่างจากหลอดนีออนกลับคืนมา น้องยิ้มกว้างเต็มหน้า

“เสร็จแล้ว!”

พ่อลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู แม่หัวเราะออกมา

…ฉัน มองภาพเหล่านั้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะแสดงตัวอย่างไร เหมือนอะไรต่อมิอะไรบิดผันไปจนหมดสิ้น

“ถ้าไค่หลับ ก็เข้าห้องหลับเถอะ” แม่เหลียวมาบอกฉัน “แต่ถ้ายังไม่นอน จะนั่งอู้กันก่อนก็ได้”

 

เราเคยมีบรรยากาศแบบนี้มาก่อนใช่ไหม กับการนั่งเอนหลังพิงฝาบ้าน ไม่ก็อิงเสาสูงไว้ ยินเสียงน้ำไหลจากฝายคลออยู่ตลอดเวลา และพ่อก็เล่าเรื่องต่างๆ อย่างม่วนงัน

แสงสะท้อนนั้นยังมีอยู่ในตาของแม่ แลวิบวับสุกปลั่ง ราวกับห้วงเวลานั้นคือช่วงสำคัญนักหนา

แม่มีความสุขกับอะไร?

ไหนจะตอนเบือนหน้ามา พยักพเยิดราวจะบอกว่า “ฟังที่พ่ออู้สิ” และสักพัก น้องก็ลงไปนอนเขลง แต่โดนแม่ซัดเบาๆ เข้าที่ก้น

“อยู่กลางหลวงกลางหลาย อย่าได้นอน”

“ไม่เป็นไรหรอก อยู่กันเองแค่นี้” พ่อสวนขึ้นมา

น้องยิ้มร่า กระดิกหัว กระดิกเท้า

“ไม่ได้นอนกินข้าวซักหน่อย”

“เดี๋ยวจะติดเป็นนิสัย” แม่ลดเสียงลง

“ไม่หรอก มันมีแม่ดี” พ่อว่า

แล้วก็มีเสียงหัวเราะอย่างขบขัน แม่ปรายตาเหมือนจะค้อนควัก

…ฉันดูภาพนั้นอย่างงงงันไป

นั่นใช่พ่อกับแม่หรือ คนทั้งสองไม่เคยจะสอดคล้องต้องกัน…หรือมิใช่ ทำไมพอวันที่ฉันรานรอนกลับมา เป็นยิ่งกว่านกที่ถูกเฉือนปีกขาดวิ่น

แม่กลับกุลีกุจอก่อไฟต้มข้าวให้กิน

และทั้งสองก็ทำเหมือนว่าพวกเราอยู่กันมาอย่างมีความสุขทุกวัน

 

มันหายไปไหน คืนวันที่ร้ายทารุณเหล่านั้น อะไรกันแน่ที่อยู่ในโลกของฉัน แล้วตอนนี้ ฉันกำลังหลับฝัน หรือฉันตื่นอยู่จริงๆ

อะไรกันหรือคือความจริง

สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งหมดก่อนหน้านี้ หรือ ณ ที่นี่ ที่มีพ่อ แม่ น้อง และพี่สาวอีกคนหนึ่ง

“เออ ยังไม่ได้มัดมือนี่” พ่อกระแอมเสียงขึ้นมา

“อ้าว ลืมหรือพี่” แม่ถามทันที

“เปล่าหรอก” พ่อตอบ และยิ้มอยู่ในหน้า “รอให้ใจเชยบานสักหน่อยเสียก่อน”

แล้วหมุนตัวกลับมาหาฉัน

“มา…ลูก ฮ้องขวัญแล้ว จากนี้ไป ขวัญที่เคยหนีเคยหายก็จะได้กลับมา พ่อส่งเคราะห์ส่งผีให้แล้วด้วย จะได้หมดทุกข์หมดโศกเสียที”

แม่รีบสะกิดให้น้องลุกนั่ง และน้องก็ทำตามแต่โดยดี

“ยื่นมือมาให้พ่อ”

ไม่มีใครพูดถึง…สิ่งที่เคยเกิดกับฉัน

ไม่มีการสอบถาม ไม่มีการซักไซ้อะไรกันอีก

จำได้เพียงว่า เมื่อฉันฟื้นขึ้นมาใหม่ ลืมตามาในโรงยา แม่ก็บอกว่า

“หายแล้วกลับบ้านเรานะลูกนะ”

แล้วแม่ก็พาฉันมา

…มีพ่อรอท่าอยู่ที่บ้าน

แล้วในราตรีกาล ก็มีกลิ่นดอกไม้หอมฟุ้งไปหมด

 

“ไจยะตุภะวัง ไจยะมังคะลัง อาจะในวันนี้ก่หากเป็นวันดี เป็นวันไจยะดิถีอันวิเศษ เหตุนี้หมายมีชื่อว่าอีพี่และคำโฟ…ได้มามีโรคาพยาธิบังเกิดกับต๋นกับตั๋ว…”

พ่อหย่อนปลายด้านลงในอุ้งมือซ้ายของฉัน แล้วกล่าวสืบต่อ

“จักเป็นแต่เคราะห์แต่นามก่ดี จักเป็นแต่เข้าแต่ขวัญก่ดี บัดนี้ผู้ข้าได้มาเรียกมาร้องเอาขวัญแห่งเจ้าได้มาอยู่กับต๋นกับตั๋วแล้วดั่งอั้น…”

เริ่มใช้ฝ้ายมัดที่ข้อมือ

“…ผู้ข้าจักขอผูกมัดเอาไว้ ว่าตั้งแต่วันนี้ไปตังหน้า สิบปีบ่หื้อขวัญเจ้าไปตังอื่น หมื่นปีบ่ให้ขวัญเจ้าไปไหน หื้อมาอยู่กับต๋นกับตั๋วตั้งนี้ต่อไปตังหน้า…

“หื้อมาได้อยู่สุขกายสบายใจไปตลอด จุปีจุเดือนจุวันจุยามแด่เต๊อะ…”

พ่อลากเสียงตอนท้าย ก่อนเป่ามนต์ลงใส่เส้นด้าย

“เอาละ ยื่นเบื้องขวามาเลย”

ฉันหงายมือให้พ่อ

ด้ายหย่อนใส่อุ้งมืออีกครั้งหนึ่ง

 

“สะหลีสวัสดีฑีฆายุก๋า ผู้ข้ามัดมือเบื้องซ้าย ก่หื้อขวัญเจ้ามา ผู้ข้ามัดมือเบื้องขวาก่หื้อขวัญเจ้าอยู่

“…ตั้งแต่วันนี้ไปตังหน้า เจ้าอย่าได้เจ็บได้เป๋น ได้ป่วยได้ไข้ ด้วยโรคร้ายนานาประก๋าร…”

พ่อก้มหน้าเป่ามนต์ใส่ในเส้นด้าย และเริ่มผูกไว้ที่ข้อมือขวาของพี่โฟ

“หื้อเจ้าได้อยู่สำราญ พ้นจากภัยยะอันตราย และภัยยะอุปัทวะเหตุตังหลาย…

“ขอหื้อได้เว้นได้หลีกหนีเสียจากต๋นตั๋วแห่งเจ้า แม่นว่าจัดอยู่หื้อมีไจย แม่นว่าจักไปหื้อมีโชคลาภ ตั้งแต่วันนี้ไปตลอดจุปีจุเดือนจุวันจุยาม แด่เต๊อะ…”

เป่ามนต์อีกสามครั้ง จากนั้นเด็ดปลายดึงด้ายออก เป็นอันว่าข้อมือของเราสองพี่น้อง มีด้ายสายสิญจน์ผูกพันกันคนละวง

ยกแขนส่องดูกับไฟ เส้นด้ายงามสีนวล

“ถ้ามันเปื่อยหลุดไปก็ให้มันหลัวะไปเอง” พ่อพูด “หากจะล้างมือล้างหน้าก่บ่เป็นหยัง หากจะซ่วยล้างก้น ให้รูดมันออกก่อน”

พี่โฟยกมือจบหัว ไหว้พ่ออีกครั้งหนึ่ง

“สาธุเทอะอีพ่อ”

พ่อยิ้ม และนั่งขดถวายนิ่งอยู่

จนครู่หนึ่ง แม่ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า

“โฟ ถ้ามึงอยากจะมาอยู่บ้าน แม่ก็ไม่ห้ามไม่ว่า แต่คิดให้ดีเถอะนะ บ้านเรากับในเวียง อันไหนจะเจริญก้าวหน้ากว่ากัน”

“ข้าเจ้ารู้ อีแม่” พี่โฟตอบทันควัน “มันไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่ข้าเจ้าถามหัวใจตัวเก่า มันเมินมอกใด นานแค่ไหน ที่บ่ได้อยู่กับอีพ่ออีแม่…”

แล้วพี่โฟก็จ้องเข้าไปในดวงตาแม่

“ถ้าแม่ไม่รังเกียจข้าเจ้า จะถือเอาที่นี้เป็นเหมือนบ้านตัวเก่า มีอะหยังก่จะกินอันนั้น บ่ต้องห่วงว่าจะมาทำหื้ออีแม่ล่มจม”

อะไรสักอย่างแว่บวับขึ้นในหน่วยตาดำของแม่ แต่ฉันก็จับมันไม่ชัดเจน เห็นเพียงแม่ยิ้มฝืนๆ พยักหน้าให้

“ได้สิโฟ บ้านนี้ก่เหมือนบ้านมึง สตางค์ของมึงที่เคยส่งมาให้ ก็ได้เป็นข้าวเป็นน้ำมานานนักเหมือนกัน”

 

ฉันยังคงได้กลิ่นดอกไม้ที่โชยระรินมาในสายลมกลางคืนไม่หยุดหย่อน กลิ่นของเก็ดถะหวา พุดซ้อน กุหลาบขาว และละม้ายจะได้กลิ่นจำปีจำปา

…ระลึกขึ้นได้ว่า ตอนที่แม่เอากล้ามาปลูก เคยมีคนมาทักพ่อ

“จะปลูกดอกจำปาไว้ในบ้าน ระวังขึดเน้อ”

แต่พ่อหัวเราะให้กับคำทักถามนั้นเสีย

“เขาชอบ” หมายถึงแม่ “บ่เป็นหยังดอก เปิ้นเป็นถึงดอกไหว้เทวดา”

กลิ่นดอกจำปาจริงๆ ด้วย…และถ้าจำไม่ผิด ต้นอยู่ตรงริมน้ำด้านหลัง ห่างต้นมะเฟืองไปไม่ไกลนัก

“อะไรหรือพี่” แม่ละสายตาจากพี่โฟมา

“หอมดอก” ฉันเอ่ยปาก

“อ๋อ จุ๋มป๋า”

แม่เรียกด้วยเสียงพื้นถิ่น

“หอมแรงกว่าอย่างอื่น ออกดอกมาพักใหญ่แล้ว”

“หอมเย็นม่วนใจ๋” พ่อต่อ “หายไข้แล้วสิลูก จมูกได้กลิ่นดีแล้วกา”

ฉันเพียงแต่พยักหน้า

เท่าที่จำได้ ในตอนที่พ่อมาเล่าให้แม่ฟังนั้น แม่ยังนิ่งอั้นไป

แล้วก็ได้ยินพ่อพูดว่า

“คนเมืองเฮาถือ ว่าไม่ควรปลูกดอกจุ๋มป๋าในบ้าน ว่ามันจะมีอาถรรพ์เป็นขึด แต่ตำราหนังสือก็บอก เขาเป็นถึงดอกไหว้เทวดา สมัยกรุงศรีอยุธยายังเป็นพระยาดอกไม้ ลางคนเอาไปทำเสน่ห์…ในหนังสือธรรมก็มีบอกไว้ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้านั่งตรัสรู้”

“ถ้าจะเก็บเอาดอก ต้องตื่นแต่เช้าๆ” แม่พูด

“อันนี้กา กลิ่นดอกจุ๋มป๋า” พี่โฟแทรกเสียงขึ้นมา พลางนิ่วหน้า

“ก่ว่าเหม็นอะหยัง สาบกลิ่นอยู่เป็นระยะ จะพาเมาหัวละไม่ว่า พากันหอมได้หยั่งใด ป้ำตัดทิ้งเสียไม่ได้หรืออีพ่อ”

พ่อหัวเราะ

“มึงมักน้ำพริกฮ้าก่อ โฟ”

“มักเจ้า อีพ่อ” พี่โฟตอบ “อีพ่อจะเยียะให้กินกา”

“แล้วน้ำพริกน้ำปู๋ล่ะ มักก่อ”

“เหมาะก่า อีพ่อ ข้าเจ้ามักหมดแหละ ของกิ๋นเมืองบ้านเฮา” ยังไม่วายปรายตามา

ฉันรู้ ถ้าเป็นเวลาปกติ พี่โฟคงต้องพูดต่อว่า “ไม่ได้กินเลือกอย่างมัน”

“น้ำพริกหน่อส้มเล่า?”

“อะหยังก่ลำหมดละอีพ่อ หน่อโอ่ๆ ก่ยังลำ”

พ่อยิ้มอีก

“ของลูกว่าหอม คนอื่นว่าเหม็น ของมักของเฮา เปิ้นเขาก่อาจบ่ชอบ ของอย่างนี้จับไผจับมัน พ่ออยากฝากไว้ให้คิด”

พี่โฟหน้าเฝื่อนไปเล็กน้อย ฟังดูก็รู้ว่าพ่อกำลังสั่งสอนอย่างตั้งใจ

“ก่ถ้าข้าเจ้าเหม็น มันก่ตึงคือเหม็น อีพ่อจะหื้อข้าเจ้าเยียะหยั่งใด?”

“พ่อก่บ่ได้ว่าอะไร ถ้าลูกเหม็นนัก พ่อจะลิดกิ่งดอกมันออกเสียบ้าง…ลูกคนหนึ่งว่าหอม ลูกคนหนึ่งว่าเหม็น เราก็จำเป็นต้องแบ่งกันเอา จะตัดทิ้งเสียทั้งเก๊าทั้งต้น พ่อก่ว่าเกินไป”

แม่เป็นฝ่ายขยับตัวจะลุกก่อน เป็นสัญญาณว่าได้เวลาแยกย้ายกันเข้านอน ฉันยังอ่อนเปลี้ยและเจ็บเสียดอยู่ภายใน แต่ก็เข้าใจ…มีความเข้าใจอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเงียบๆ

 

มันอาจจะเร็วเกินไปที่จะตัดสินอะไรในตอนนี้ และ…คงต้องใช้เวลากับการรักษาบาดแผลของฉัน แต่อาจเป็นคืนวันเหล่านั้น ที่พ่อพูดเรื่องดอกจำปา ที่แม่ยังคงประคองก้อนหินในตา และพี่โฟก็กระซิบกับฉันในห้องนอนว่า

“กูชังมึงจริงๆ อีพี่ มึงทำกูตกอกตกใจขนาดนี้ ดีขนาดไหนแล้วที่ยังไม่ตาย…ถ้ามึงตาย กูคงจะร้อนไหม้ไปตลอดชาติ มึงเป็นน้องกูอีพี่ มีอะไรต่อไปนี้ ขอให้บอกกูบ้าง! อย่าทำอย่างไม่ใช่พี่น้องกัน!”