วางบิล/เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ภารกิจสงฆ์

วางบิล
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ภารกิจสงฆ์

ท่านเจ้าคุณใหญ่ เจ้าอาวาสขยับตัวลงจากธรรมาสน์ ขณะพระเณรไหว้ อุบาสกอุบาสิกากราบลงกับพื้น เดินไปด้านหน้านั่งลงแล้วคู้เข่าลงกราบ ทุกคนทำตาม เสร็จแล้วต่างยืนขึ้น กระทั่งท่านก้าวเดินออก พระเณรจึงทยอยเดินตามไปทางประตูหลัง ส่วนอุบาสกอุบาสิกายังคงนั่งที่เดิมปฏิบัติกิจสวดมนต์ต่อ
เหน็บกินอีกตามเคย พระสุชัยถามเย้า “เป็นเหน็บเรอะ นั่งนานๆ ต้องหมั่นสลับขาพับเพียบมั่ง ไม่งั้นเหน็บกินเอา”
ยืนพักด้านหลังวิหารสักครู่ จึงค่อยๆ เดินกลับกุฏิ ไขกุญแจเข้าห้อง ถอดจีวรออกผึ่งบนราวลวด ตั้งใจจะนอนอ่านหนังสือนวโกวาทที่ท่านเจ้าคุณใหญ่ให้มาสักจบหนึ่ง อ่านไปได้สักสองหน้า คงด้วยความเพลีย ด้วยไม่เคยตื่นเช้ามานาน จึงง่วงติดหมัดขึ้นมา มืออ่อน
หนังสือร่วงแล้วเลยหลับผล็อย

ไม่รู้ว่าหลับไปนานสักเท่าไร คงไม่เกิน 20 นาที ได้ยินเสียงเรียกแว่วๆ หน้าประตู “ท่าน ท่าน เพลแล้ว จึงลุกพรวดขึ้น เหลือบมองนาฬิกา 11.00 น. รีบลงไปเปิดก๊อกน้ำลูบหน้า บ้วนปาก คว้าจีวรลงมาห่ม รู้สึกคล่องขึ้น แต่ยังใช้การไม่ได้ดี เดินออกมาที่หอฉัน เห็นพระเพียง 3 รูป รวมทั้งท่านสุชัย สอบถามได้ความว่า พระครูพรหมไปสวดมนต์ฉันเพลที่ศาลาเมรุหลังวัด
กับข้าวมื้อเพลบางอย่างซื้อมาจากตลาดข้างวัด บางอย่างเหลือจากมื้อเช้า ส่วนข้าวเด็กหุงให้ใหม่ยังร้อนควันฉุย เช่นเดียวกับอาหารของวงเณร ที่คง 3 รูปเหมือนเมื่อมื้อเช้า
ฉันยังไม่เสร็จดี พระครูพรหมเดินกลับมา มือซ้ายถือตาลปัตร มือขวาคล้องย่ามสีเหลืองอ่อน และหิ้วถาดใส่ของถวายพระ
เด็กลูกศิษย์จัดน้ำร้อนใส่กระติกวางที่ระเบียง เตรียมไว้ให้ท่านพระครูชงน้ำชาเอง ผึ่งจีวรเรียบร้อย เก็บของเข้าที่ พระครูพรหมสวมเพียงอังสะมานั่งล้างกาและถ้วยเองจนเรียบร้อย หยิบใบชาจากถ้ำชาใส่ลงกา หยิบกระติกน้ำร้อนเทลงกาครั้งหนึ่ง เทน้ำร้อนที่ชงชารอบแรกออกจากกา แล้วเรียกพระปานกับพระรูปอื่นให้มาฉันน้ำชา “มา-มา ฉันน้ำชากัน” ท่านคงเรียกอย่างนี้เป็นปกติเมื่อเห็นพระฉันเพลเสร็จ
พระครูพรหมจะชงน้ำชาประมาณ 3 กา หากไม่มีแขกชวนคุย ท่านจะกลับเข้ากุฏิจำวัด หรืออ่านหนังสือพิมพ์ต่อ เช่นเดียวกับพระรูปอื่นมักกลับไปจำวัดในช่วงบ่าย หรือไม่ก็กลับไปอ่านหนังสือที่เรียน เว้นแต่มีกิจธุระต้องไปนอกวัด หรือไปเรียนหนังสือหลักสูตรนักธรรม หรือหลักสูตรปริญญาตรี
พระปานเอง เมื่อพระรูปอื่นลุกขึ้นกลับกุฏิ จึงขอตัวท่านพระครูพรหมกลับบ้าง ท่านเอ่ยปาก “อือ”

พระปานขอหนังสือพิมพ์ไปอ่านฉบับหนึ่ง พระครูอนุญาต จึงหยิบติดมือกลับกุฏิ นั่งอ่านไปได้สักข่าวสองข่าว และบทความในหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรน่าสนใจ จึงเปลี่ยนมาเป็นอ่านนวโกวาทที่ค้างอยู่ ทีแรกก็นั่งอ่าน สักพักเอนกายลงครึ่งนั่งครึ่งนอนบนพื้นห้อง มีหมอนรองสีข้าง ในที่สุดลงนอน แล้วเลยหลับไป
กระทั่งรู้สึกตัวเมื่อแว่วยินเสียงระฆัง ประกอบกับจิตจดจ่อว่าต้องลงวิหารฟังเทศน์รอบบ่าย ลืมตาขึ้นมองนาฬิกา สามโมงเย็นพอดี จึงลุกขึ้นไปลูบหน้า บ้วนปาก ห่มจีวรไปวิหาร ผ่านหน้าห้องพระสุชัย เห็นปิดประตูเงียบจึงไม่เรียก เดินเลยไปที่วิหารเช่นเดียวกับพระเณรรูปอื่นที่ทยอยเดินไปเช่นเดียวกัน
ช่วงบ่าย พระที่มาเทศน์เป็นพระมหา หรือพระครู พระเณรที่มาฟังรอบนี้น้อยกว่ารอบเช้า แม้จะมีการลงชื่อเช่นเดียวกันก็ตาม ส่วนอุบาสกอุบาสิกา และชี ไม่น้อยลงจากเมื่อเช้าสักเท่าใด
กระทั่งเทศน์เสร็จ ออกจากวิหาร ความง่วงค่อยหายไป พระปานเดินกลับกุฏิ เห็นพระครูพรหมกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับบ่าย คิดในใจว่า ดี จะได้มีหนังสือพิมพ์อ่าน ไม่ต้องหาซื้อเอง เดี๋ยวท่านพระครูอ่านเสร็จจะขอยืมมาอ่านต่อ
เข้ากุฏิ ถอดจีวรพาดไว้บนราวลวดตามเคย ยังสวมอังสะ รู้สึกระคาย มองหาไม้กวาดทำความสะอาดห้องนอน กวาดเสร็จ หยิบผ้ากับถังน้ำใส่น้ำมาถูพื้นห้องต่อ แล้วจึงไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปทำวัตรเย็นอีกครั้ง ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันของสงฆ์ โดยเฉพาะวันธรรมสาวนะ หรือวันพระ
เสร็จจากทำวัตรเย็นในโบสถ์ เมื่อเวลาเกือบ 18.00 น. พระปานเริ่มคล่องขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการห่มจีวร หรือสวดมนต์
เป็นอันหมดวัตรปฏิบัติของสงฆ์ประจำวัน

กลับมาที่กุฏิ ผ่านกุฏิพระครูพรหม เห็นพระสองสามรูปนั่งคุยฉันน้ำชากับท่านอีกรอบ จึงแวะเข้าไปนั่งฟังด้วยเมื่อพระครูกวักมือเรียก ฟังท่านพูดคุยกัน บรรยากาศเริ่มสลัวราง นกกากลับรังไปบ้างแล้ว แต่ยังมีบินวนเวียนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว รวมทั้งค้างคาวเริ่มออกบินว่อนส่งเสียงร้องแหลม
สักครูพระครูสมุห์เดินผ่านประตูคณะเข้ามาถึงหน้าห้องพระครูพรหม บอกเสียงพอได้ยินว่า “ท่านพระครูศาลาสาม อ้อ…มหาอุดมศาลาห้า” พระครูสมุห์บอก พยักหน้ายิ้มให้พระปานนิดหนึ่งก่อนเดินออกไปอีกด้าน เพื่อบอกพระรูปอื่น
“อะไรครับ ศาลาสาม ศาลาห้า” พระปานเอ่ยถามพระครูพรหมด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง
ท่านพระครูยังไม่ทันตอบ พระมหาอุดมตอบแทนขึ้นว่า “สวดพระอภิธรรมที่ศาลาหลังวัด” พระปานจึงหายสงสัย แม้จะรู้มาบ้างว่า กิจอีกอย่างหนึ่งของสงฆ์ในศาสนาพุทธ คือเมื่อคนตาย พระสงฆ์ต้องสวดพระอภิธรรม ที่วัดนี้แบ่งพระออกเป็น 10 ชุด หรือเท่าที่มีพระจำวัดทั้งในห้วงเข้าพรรษาและออกพรรษา เมื่อเข้าพรรษามีพระเณรมากกว่านี้ อาจเพิ่มอีกเป็นกว่า 10 ชุด
ศาลาหลังวัดสำหรับตั้งศพสวดพระอภิธรรมมี 15 ศาลา เนื่องด้วยเป็นวัดใหญ่ของกรุงเทพฯ ญาติโยมนิยมนำศพมาตั้งที่วัดนี้ และวัดที่มาศาลาจำนวนมาก ผิดกับวัดไม่ใหญ่ หรืออยู่ไกลออกไป จึงไม่ค่อยมีศาลาบำเพ็ญกุศลมากนัก ประกอบกับการเดินทางสะดวก จึงมีศพมาตั้งสวดไม่น้อย
สงฆ์สวดพระอภิธรรมชุดหนึ่ง 4 รูป ครบองค์สงฆ์ที่ทำพิธีตามพุทธบัญญัติ แต่ส่วนใหญ่ใช้สงฆ์ 4 รูป กรณีสวดศพ หรือบังสุกุลสังฆทานวันครบวันตาย ส่วนกรณีทำบุญอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นวันกิด หรือขึ้นบ้านใหม่ หรือทำบุญมงคล แม้แต่นิมนต์สวดมนต์ฉันเพลจะนิมนต์พระ 5 รูป 7 รูป หรือ 9 รูป เพื่อเป็นสิริมงคล
กรณีพิธีหลวงสวดพระอภิธรรมนิมนต์สงฆ์ 4 รูปเช่นกัน แต่กรณีพิธีอื่นจะพบว่านิมนต์สงฆ์ 10 รูป
การสวดพระอภิธรรมนิยมสวดตั้งแต่ 3 วัน ถึง 7 วัน แล้วสวดพระอภิธรรมก่อนพิธีฌาปนกิจอีกคืนหนึ่ง หรือหากเจ้าภาพเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและฐานะดี อาจสวดพระอภิธรรมเพิ่มในทุกวันที่เสียชีวิต จนกว่าจะถึงวันฌาปนกิจ ซึ่งนิยมกำหนดไม่เกิน 100 วัน
หรือตามแต่เจ้าภาพจะเห็นสมควร ซึ่งจะมีการบำบุญ 50 วันด้วย