เงาปีศาจ : ผ่าฟอร์ม “ช้างศึก” ใน “คิงส์คัพ” ใคร “สอบผ่าน VS สอบตก”…?

บทสรุปฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน” “คิงส์คัพ”” ครั้งที่ 46 ขุนพลนักเตะทีมชาติไทย ไม่สามารถรักษาถ้วยแชมป์ให้อยู่ในเมืองไทยเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

หลายคนอาจผิดหวังกับการที่ทีมช้างศึกไปไม่ถึงบัลลังก์แชมป์ แต่อีกหลายคนยกย่องผลงานโดยรวมของทีมช้างศึก ฟอร์มการเล่นที่พัฒนาขึ้นจากเมื่อก่อนอย่างชัดเจน

นัดแรกทีมชาติไทย เสมอกับ “กาบอง” แบบโนสกอร์ ก่อนจะมาได้ซูเปอร์เซฟฮีโร่ของ “ตอง” “กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์” 2 ลูกในช่วงการดวลจุดโทษ

ส่งให้ทีมชาติไทยเข้าไปชิงชนะเลิศกับยักษ์หลับของยุโรปอย่างสโลวะเกีย

 

รอบชิงชนะเลิศ ทีมชาติไทยของ “มิโลวาน ราเยวัช” กุนซือชาวเซิร์บ เล่นแบบถวายหัว สวมหัวจิตหัวใจนักสู้ต่อกรกับสโลวักชนิดสู้ได้ แม้จะโดนนำไปก่อนแต่ก็ไล่มาจนมาจบที่ 2-3 แบบสุดมัน

สโลวะเกีย คว้าแชมป์ฟุตบอล” “คิงส์คัพ”” เป็นสมัยที่ 2 หลังจากเมื่อปี 2004 เคยดับฝันไทยด้วยการดวลจุดโทษชนะไปในตอนนั้น

“คิงส์คัพ” คราวนี้มีอะไรน่าสนใจอยู่ค่อนข้างเยอะ ทั้งสีสันในสนามแข่งขันที่คัดสรรทีมที่ล้วนมีอันดับโลกสูงกว่าทีมช้างศึกมาดวลแข้ง

ขณะที่สีสันนอกสนามมีทั้งเรื่องยูนิฟอร์มใหม่ของทีมชาติไทย โลโก้ใหม่ และการดึงสาวๆ เกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังแห่งยุคอย่าง “BNK48” ภายใต้การนำของกัปตัน “เฌอปราง อารีย์กุล” มาร่วมเชียร์ทีมชาติไทยถึงขอบสนาม

เรียกว่างานนี้ทั้งแฟนบอลไทยพันธุ์แท้ และขาจร เข้าไปชมที่สังเวียนดังย่านหัวหมากกันแน่นทีเดียว

 

ผมเสียดายอย่างหนึ่ง ถ้าคิงส์คัพหนนี้ “ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง” ดาวยิงทีม “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซนอลของทีมชาติกาบอง และ “มาเร็ก ฮัมซิก” มิดฟิลด์จากนาโปลี ของทีมชาติสโลวะเกีย มาโชว์ฝีเท้ากับทีมด้วย คงจะเพอร์เฟ็กต์ยิ่งกว่านี้…

“โอบาเมยอง” ต้องยกเลิกมาไทยก่อนกำหนดแค่วันเดียวแบบกะทันหันเพราะคุณยายเสียชีวิต ส่วนฮัมซิก ดันได้รับบาดเจ็บกับต้นสังกัดจนต้องถอนตัวทีมชาติ เราเลยอดดูของดีไปด้วย

พูดถึงทีมชาติไทยคราวนี้ตอนแรกก็ยังคิดว่า เราจะไหวหรือ เพราะคิงส์คัพความกดดันสูง คนไทยอยากเห็นถ้วยแชมป์อยู่ในเมืองไทย

ราเยวัช มีเวลา 2 วัน ในการรวมตัวนักเตะที่เขาได้เลือกระหว่างเดินสายไปตามสนามต่างๆ ในศึกไทยลีกทุกสัปดาห์ที่ผ่านมา

โครงสร้างนักเตะยังคงเค้าโครงเดิม อาจจะขัดใจแฟนบอลอยู่บ้างที่ไม่มีชื่อของ “ตังค์” “สารัช อยู่เย็น” มิดฟิลด์จากเมืองทองฯ และ “ทริสตอง โด” แบ๊กขวาจากเมืองทองฯ มาอยู่ในทีมชุดนี้

ตอนที่เราดึงราเยวัชมากุมบังเหียนทีมชาติไทยต่อจาก “ซิโก้” “เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” เรารู้กันดีว่า ต้องการให้ราเยวัชมาแก้ปัญหาแนวรับที่หละหลวม ซึ่งที่ผ่านมาก็ถือว่าทำได้ดี แต่แนวรุกยังเป็นเครื่องหมายคำถามว่า จะใช่หรือไม่?

คิงส์คัพคราวนี้พิสูจน์ในระดับหนึ่งว่า บอลราเยวัชไม่ได้มีดีแค่เกมรับ แต่เกมรุกก็ถือว่าพอตัวอยู่

 

ยุคก่อนบอลไทยในอาเซียนต้องใช้สไตล์เดินหน้าฆ่ามัน หากถอยหลังมาตั้งรับ ดูจะขัดตา ส่วนการไปเล่นระดับเอเชีย เราจะเอารถบัสไปด้วยไปจอดลึกหน้าประตู เตะทิ้งเตะขว้างไม่มีเชิง

แต่สิ่งที่เห็นได้อย่างหนึ่งในยุคราเยวัช บอลไทยเล่นกันเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น โตขึ้น สุขุมขึ้น รู้จักจังหวะรับ จังหวะรุก ทุกคนช่วยกันเล่นเป็นทีม รักษาตำแหน่งของตัวเอง มีความนิ่งขึ้น

11 คนแรกที่ลงสนามนัดชน “กาบอง” กับ “สโลวะเกีย” เหมือนกันเป๊ะในระบบ 4-3-3 หรือใครจะมองว่า 4-2-3-1 ก็ไม่แปลก

ลองมาดูคะแนนความสามารถเมื่อวัดจากผลงาน 2 นัดในคิงส์คัพของผู้เล่นไทยกัน

 

ประตู “ตอง” “กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์” (8 คะแนน) : เห็นได้ชัดว่าการไปเฝ้าเสาให้ โอเอช ลูเวิน ลีกรองของเบลเยียม ทำให้กวินทร์แกร่งขึ้น ออกบอลดีขึ้น มีความมั่นใจ และกวินทร์ก็ยังบินได้เหมือนเดิม เซฟจุดโทษ 2 ลูกในนัดกับกาบอง ส่วน 3 ลูกที่เสียในนัดกับสโลวะเกีย ถือว่าสุดวิสัย

แบ๊กซ้าย “บาส” “พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา” (5 คะแนน) : เป็นนักเตะที่ขยัน เล่นทั้งรับ-รุก แต่การเติมเกมขึ้นสูงยังไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าที่ควร มาตรฐานของเจ้าบาส ถ้าแมตช์ไหนเล่นดี ดีใจหาย แมตช์ไหนพื้นๆ เกมรุกฝั่งซ้ายก็บอดเหมือนเช่นคิงส์คัพ

แบ๊กขวา “ฟิลิป โรลเลอร์” แบ๊กขวาลูกครึ่งไทย-เยอรมัน (5 คะแนน) : จริงๆ แบ๊กขวาทัวร์นาเมนต์นี้ต้องเป็น อดิศร พรหมรักษ์ แต่เจ็บถอนตัวไปจึงต้องเรียกโรลเลอร์มาแทน ซึ่งเจ้าตัวก็เป็นบ่อฝั่งขวา โดนโจมตีขึ้นเกมจนสุดเส้นหลายครั้ง และสอบตกกับทัวร์นาเมนต์นี้

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ “เหลิม” “เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว” (7 คะแนน) : เป็นเซ็นเตอร์ตัวหลักในยุคราเยวัช เล่นบอลนิ่งขึ้นเยอะ ทางบอลเยี่ยม รูปร่างดี ดักเก็บลูกกลางอากาศได้หมด แม้ว่าการออกบอลยังไม่ดีเท่าที่ควร แต่เป็นหัวใจในเกมรับอย่างแท้จริง

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ “โย่ง” “พรรษา เหมวิบูลย์” (8 คะแนน) : จับคู่ยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟกับ เฉลิมพงษ์ เกิดแก้ว อย่างลงตัว คอยซ้อนกันอย่างเข้าขา แถมมีจุดเด่นที่ลูกกลางอากาศทั้งคู่ ทำให้ยุคนี้ทั้งคู่น่าจะเป็นเซ็นเตอร์เบอร์ 1 ของไทยไปแล้ว แต่ยังคงต้องปรับเรื่องความเร็ว และการออกบอล

กองกลาง “นิว” “ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์” (8.5 คะแนน) : ระเบิดฟอร์มยอดเยี่ยมสมกับการเป็นมิดฟิลด์ไดนาโมของแท้ เล่นบอลดุ ขยัน ไว้ใจได้เรื่องการตัดเกม พล่านไปทั่วสนามทั้งเกมรุก เกมรับ พลังงานเหลือเฟือ เป็นหัวใจในแดนกลางชั้นดี แต่ต้องปรับเรื่องการควบคุมอารมณ์ที่ยังใจร้อนจนไปนอกเกมหลายจังหวะเหมือนเดิม

กองกลาง “โน๊ต” “จักรพันธ์ แก้วพรม” (7 คะแนน) : มีความเก๋าเกมเป็นอาวุธอยู่แล้ว เล่นบอลฉลาด คุมจังหวะเกมได้ดี ก้าวมาเป็นตัวหลักทีมชุดนี้จากผลงานที่ช่วยให้บุรีรัมย์ฯ ครองแชมป์ไทยลีกปีก่อน แต่ยังคงต้องอาศัยเวลาเรียนรู้แท็กติกอีกพอสมควร

กองกลาง “เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” (8.5 คะแนน) : บอกเลยนี่คือตัวจี๊ดของไทยอย่างแท้จริง ครองบอล เลี้ยงกินตัว สร้างโอกาสทำประตูให้เพื่อน คุมเกมแดนกลางได้หมด ตัว-ตัว ผ่านตลอด เจได้ยกระดับไปอีกขั้นจากการไปเล่นกับซัปโปโล ในเจ-ลีก ถึงขนาดที่โค้ชสโลวะเกีย ชื่นชมว่า สุดยอด นี่ไม่ธรรมดาสำหรับไอ้เด็กหนุ่มจากนครปฐมรายนี้

เกมรุกฝั่งซ้าย “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน” (6 คะแนน) : ดูจะเงียบไปสำหรับมาตรฐานของอุ้มกับทีมชาติ อุ้มไม่ถนัดการเล่นแดนกลาง และเกมรุกฝั่งซ้าย อุ้มคือแบ๊กซ้ายธรรมชาติ เมื่อถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด ดูจะเล่นแบบไม่มั่นใจ จ่ายบอลผิดพลาดเยอะ คงต้องคุยกันใหม่แล้วล่ะว่า อุ้มกับบาส จะเล่นกันยังไง

เกมรุกฝั่งขวา “เย็น” “มงคล ทศไกร” ( 6 คะแนน) : ดับสนิทในคราวนี้ ปกติจะเป็นตัวโจ๊กเกอร์ชั้นดี แต่คราวนี้เงียบสงัด เกมรุกฝั่งขวาก็ดูจืดๆ คงเป็นเพราะขาดการสนับสนุนสอดรับกันกับ ฟิลิป โรลเลอร์ มีอะไรหลายอย่างที่จ่าเย็นต้องเรียนรู้

หน้าเป้า “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา (7.5 คะแนน) : รักษามาตรฐานตัวเองกับทีมชาติได้ดี ครองบอลได้ เก็บบอลได้ แต่ยังเหมือนเดิมขาดวิญญาณเพชฌฆาต บางครั้งถอยตัวเองลงมาล้วงบอลลึก พาไปเอง แต่ก็ไม่สุด แต่มาตรฐานโดยรวมทำได้ยอดเยี่ยม

 

หลังจบคิงส์คัพ “มาริโอ เลอมิน่า” กองกลางของเซาธ์แฮมป์ตันทีมดังในพรีเมียร์ลีกของทีมชาติกาบอง ถึงกับโพสต์ภาพในอินสตาแกรม เป็นรูปคู่กับ “เจ” ชนาธิป พร้อมกับแคปชั่นว่า “ขนาดร่างกายเล็ก แต่ทาเลนต์ (ความสามารถ) ยิ่งใหญ่ @jaychanathip การมาไทย เป็นทริปที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ขอบคุณมากสำหรับการต้อนรับอย่างดี หวังว่าเราจะเจอกันอีกในไม่ช้า #ML18 #CS18”

“คิงส์คัพ” หนนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับทีมชาติไทย และราเยวัช ในการก้าวต่อไปเพื่อความสำเร็จของทีมชาติไทย

ประสบการณ์จาก “คิงส์คัพ” จะทำให้ขุนพล “ช้างศึก” แกร่งขึ้นในสถานีต่อไป เอเชี่ยน คัพ รอบสุดท้าย 2019…