การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ที่สั่นเทาอย่างตระหนกรุนแรง

“มึงทำแบบนี้ทำไม อีพี่! มึงทำแบบนี้ทำไม!”

เสียงของพี่โฟคือสิ่งสุดท้ายที่ฉันได้ยิน ก่อนทุกอย่างจะมืดดับลง

[ฉันยังจำได้ถึงวันหนึ่งในวัยเด็ก**1

วันซึ่งฉันได้นำเรือออกพายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก

คนซึ่งอยู่บนฝั่งพากันห้ามปรามด้วยเสียงอันเอ็ดอึง

แต่ฉันก็คงดื้อรั้นที่จะนำเรือไปให้ได้]

“โอย…! ขอพักก่อนนะ”

ร่างหนาทิ้งตัวลงนอนหงายแผ่หรา อกกว้างกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงหายใจ ขนบนหน้าอกหยิกฟู เช่นเดียวกับที่รักแร้และบนหน้าขา

หากมือหนึ่งก็ยังตะปบคว้าเข้ามาที่กลุ่มขนของฉัน

“พอค่ะพี่”

เบี่ยงตัวออก หากมือใหญ่ก็ยังยึดเอาไว้…จะเรียกว่ากระชากก็ได้

“ไปไหนเล่า ขอพักแค่เดี๋ยวเดียว…”

“หนูจะไปอาบน้ำ”

“รีบอาบทำไม เดี๋ยวสิ”

“…ก็พี่เสร็จแล้ว หนูจะได้กลับห้อง”

“เดี๋ยวขออีกยก”

“ไม่ค่ะพี่ วันนี้พอแล้ว”

อยู่ดีๆ ร่างเปลือยเปล่าก็ยกตัวขึ้น แล้วเงื้อมือ

“มึงนี่พูดไม่รู้เรื่องหรือยังไง!”

[ฉันพยายามที่จะนำเรือตัดกระแสน้ำไปยังฝั่งตรงข้าม

เรือน้อยของฉันคืบหน้าไปอย่างทุลักทุเล

มันไม่ยอมที่จะอยู่ใต้พลังแรงอันน้อยนิดของฉันเสียเลย

แม้ฉันจะจ้วงพายและคัดท้ายอย่างสุดล้า

ในที่สุดมันก็จมคว่ำลงกลางสายน้ำ

ซึ่งเกือบจะกลืนชีวิตของฉันไปดุจเดียวกัน]

ฉันหวีดร้อง…ใช่ นั่นคือเสียงของฉัน

จะไม่ให้หวีดร้องได้ยังไง เมื่อมือที่เงื้อขึ้นสูงพลันลดลงต่ำ อย่างจะเปลี่ยนใจ แต่แล้วกลายเป็นการผลักกดต้นคอของฉัน

จนใบหน้าแนบลงกับผ้าปู

ฉันเห็นรอยยับย่นอยู่เต็มตา

ทว่า รอยกดนั้นยังคงหนักหน่วงลงมา

“มึงพูดไม่รู้เรื่องใช่มั้ย!”

ฉันใจหายวาบ รีบตะกายเพื่อจะลุกขึ้น แต่ดูทุกอย่างจะสายไปหมด

ฉันคิดช้า หรือว่าเพราะเป็นคนโง่ซ้ำซาก

“พี่ปล่อยฉัน! เอาเงินให้ฉัน…ฉันจะกลับแล้ว!”

“ยังจะเอาเงินอีก!”

ปราศจากความปรานี และไม่มีแม้ความนุ่มนวลใดๆ เหลืออยู่

“กูให้มึงไปเท่าไหร่แล้ว! ทีกูขอมึงเท่านี้กลับให้ไม่ได้…มึงยังจะเอาเงินจากกูอีกเหรอ!!”

แขนของฉันหายแล้ว ไม่ต้องเข้าเฝือกอีก แต่ว่า ขาของฉันล่ะ…มันจะเป็นยังไงอีกในวันต่อไป

ในเมื่อฉันต้องแผดเสียงออกมาอย่างสุดกลั้น ทันทีที่เข่าหนักๆ กระแทกลงเต็มแรงจนแทบสะดุ้งสุดตัว

ตัวฉันม้วนงอทันควันด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด

“…อย่า” ปากครางตามสัญชาตญาณ “…ฉันจะกลับแล้ว”

“มึงจะไปไหน นายมึงอยู่ที่นี่ มึงจะกลับไปไหน!!”

[พวกผู้ใหญ่พากันอบรมสั่งสอนฉันหลังจากวันอันตื่นใจ

เขาพากันกล่าวว่า เมื่อเชี่ยวจงอย่าเอาเรือแล่นขวาง

เมื่อพายุและมรสุมกระหน่ำหนัก ชาวเรือต่างก็ลดใบลงและแอบเข้าฝั่ง

“นั่นเป็นบทเรียนที่ดีของเจ้า” เขาพากันย้ำเสียงหนักแน่น

“เมื่อโตขึ้น รับผิดชอบชีวิตของตนเอง เจ้าจะได้มีความสุขและปลอดภัย”]

 

มันต้องมีอะไรผิดพลาดไปอีกแน่ๆ ถึงต้องมีแต่ความเจ็บปวดขนาดนี้ ขณะที่ร่างกายกำลังโยกโยนเหมือนโดนเหวี่ยงอยู่บนหินผา

มีชะง่อนแง่งผาอยู่ในตัวฉัน

มันหนักหน่วง มันเสียดแทง มันบดเบียดเยียดยัด

มันกระแทกอยู่ข้างใน ราวจะให้ฉันตายดับไปกับมัน

“…พอแล้ว! พี่…พอแล้ว!”

“ดี! ร้องออกมา มึงร้องออกมาอีก!”

“ไม่…พี่…พอเถอะ! พอแล้ว!”

น้ำตาของฉันหลั่งออกมาจนแทบจะเนืองนองท่วมหน้า เจ็บร้าวเกินกว่าจะพูดคำอื่นใด…เจ็บกว่าครั้งไหนๆ จนพ่ายแพ้

ฉันจำไม่ได้แล้วว่า มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

“มึงอยากได้เงินไม่ใช่หรือ! เอาไปสิ กูให้!”

ความใหญ่โตถอดถอนออก เพื่อจะให้ใบแดงม้วนรัดอัดยัดเข้ามาแทนที่…นั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันกรีดร้องแทบจะสิ้นเสียง

มีเพียงมืดดำทาทาบอยู่เต็มดวงตา

ฉันสำนึกได้อย่างรางเลือนในตอนนั้นเองว่า ฉันไม่ควรต้องการอะไรทั้งนั้น

[หลายครั้งหลายคราตลอดวัยอันอ่อนโลก

ฉันได้ยินแต่เสียงตักเตือน คัดค้าน ห้ามปรามการกระทำอันรุนแรงและผิดกาลเทศะว่า “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ”

และบ้างก็ยกตัวอย่างเรื่อง “ต้นไทรกับต้นอ้อ” ของอีสปมากล่าวอ้าง

ฉันจำต้องยุติการกระทำอันรุนแรงของตัวอยู่เนืองๆ

และเริ่มปล่อยชีวิตของตัวเองให้คล้อยตามไปกับเหตุการณ์เหมือนกอสวะที่ลอยไปตามกระแสน้ำหรือต้นอ้อที่ลู่ไปตามลม

ฉันได้แต่ปล่อยให้วันเวลาล่วงไปอย่างเกียจคร้าน

และมักจะทอดกายลงบนพื้นดินริมท้องร่องใต้ต้นมะม่วงใหญ่ใบหนาอยู่บ่อยๆ

ฉันชอบดูปลาที่ขึ้นมาผุดว่ายทุกครั้งที่น้ำขึ้น

และปูซึ่งจะออกมาหากินก็ต่อเมื่อน้ำลง]

 

ในที่สุด…ใช้ความยากลำบากแค่ไหน กว่าฉันจะกลับมาถึงห้องพักได้ ด้วยสองขาที่อ่อนเปลี้ย เจ็บร้าวทั่วร่างกาย เลือดไหลซึมอยู่ตลอดหว่างขา

และต้องแหงนหน้า รับฟังคำสั่ง พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่า ฉันจะเชื่อฟังอีกเสมอ ฉันจะไม่ทำตัวเกเรเหลวไหล

ฉันจะต้องยอมรับแล้วว่า ตัวเองเป็นใคร

ฉันไม่อาจจะเป็นอะไรอื่นได้อีกแล้ว นอกจากเด็กผู้หญิงที่มีนายจ้างคนดีแสนจะรักใคร่

ฉันจะได้ใบแดงน้อยกว่าที่ต้องการ แต่นั่นเพราะฉันจะได้รับความปรานีมากกว่า

[ทุกครั้งที่ใบไม้หรือสิ่งอื่นๆ หล่นลงไปในน้ำ ปลาจะพุ่งตัวเข้าหาทันที แต่ปูจะรีบหลบเข้าไปในรูอย่างรวดเร็ว

ปลาจะกินทุกอย่างที่มันเห็น ถ้ามันกินไม่ได้มันก็จะคายออกมา แต่ปูจะต้องตรวจตราอยู่นานกว่าจะได้อาหารที่ต้องการ

ปลาว่ายขึ้นลงตามท้องน้ำได้โดยเสรี แต่ปูจะอยู่แต่ในรูของมันและจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัย

ในคืนวันอันร้ายกาจที่สุด ปลาสามารถที่จะทนอยู่ในน้ำได้ ในขณะที่ปูเก็บตัวเงียบอยู่ก้นรังของมัน

ฉันมองเห็นความฉลาดของปู แต่ฉันก็ชอบปลามากกว่า]

 

แล้วจะให้ฉันมีชีวิตอยู่ไปอีกเพื่ออะไร เมื่อสุดท้าย…ใบแดงที่ฉันมุ่งหวัง ก็ยังเปื้อนเลือดจนสาบคาวไปหมด

ฉันไม่อาจจะเรียกร้องอะไรได้ เพราะฉันเต็มใจเอง ฉันเรียกร้องเอง

ฉันทำตัวของฉันเอง

ฉันมันโง่เอง

“…ฉันจะไปแจ้งความ…”

“ไปเลย! อีโง่! มึงสมัครใจมาเป็นกะหรี่เอง ระวังจะโดนจับเสียเองล่ะ ไปสิ รีบไปเลย!”

 

ไหนๆ เลือดของฉันก็ไหลรินออกมาตั้งมากมายแล้ว ถ้าปล่อยให้มันไหลไปจนหมดตัวเสียที คงจะดีกับทุกๆ อย่าง

ฉันอยากไปจริงๆ แล้วนะ ฉันไม่อยากจะอยู่แล้วจริงๆ

สิ่งที่พอจะพาฉันไปได้ คือใบมีดอันเล็กบาง…ที่อย่างน้อย ต้องเจ็บน้อยกว่าตลอดวันที่ผ่านมาแน่ๆ

แต่ฉันขอแค่…แค่ให้พี่โฟช่วยส่งจดหมายให้ฉัน และฝากบอกพ่อแม่ที่บ้านว่า ฉันลาก่อน

 

ทว่า เสียงพี่โฟยังคงแทรกก้องเข้ามาเต็มสองหู ตอนเริ่มบุบเบลอเลือนรางพร่างพราย

“อีพี่! มึงทำแบบนี้ทำไม!! อีชาติหมา!!”

จนเสียงพลิกกระดาษดังรี่ไหลเร็วถี่ขึ้นทุกที

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ ช่วยที!”

เสียงของพี่โฟดังสะท้อนกลับไปกลับมา

เหมือนบทกวีของราช รังรอง ที่ฉันบรรจงคัดลงในสมุด และอ่านซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะเข้าไปขอใบแดงกับนายจ้างครั้งล่าสุด

[…ท่ามกลางความฉลาดที่เห็นแก่ตัวและความโง่ที่เห็นแก่ผู้อื่น

ท่ามกลางความแข็งแรงอันน่าชิงชังและความอ่อนแออันน่านับถือ

ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตที่ไม่แปรเปลี่ยนและสิ่งไร้ชีวิตที่งอกงาม

ท่ามกลางพระเจ้าที่บังคับให้คนนับถือและคนสวนที่ไม่มีใครสนใจ

ในวันนี้ฉันได้แต่นั่งอยู่อย่างเดียวดาย

นึกถึงความแข็งแรงและความอ่อนแอของชีวิตแล้วก็ได้แต่หัวเราะ

และฉันก็หัวเราะอยู่แต่ผู้เดียว…]

 

ฉันอุตส่าห์คิดว่า ถ้าได้ใบแดงมาเพิ่ม จะได้มีหนทางไปเร็วๆ และอดใจรออีกประเดี๋ยวเดียว ฉันก็อาจมีชีวิตใหม่ได้

เช่นกัน ฉันอุตส่าห์คิดใหม่ ถ้าตายๆ ดับจบไปเสีย ทุกสิ่งก็จะลงเอยไป

ไม่ต้องหัวเราะก็ได้ แค่ไม่ต้องร้องไห้อีกแล้ว

วิบากกรรมเวรอะไร ฉันแค่ต้องการจะตาย…แค่อยากตาย ก็ยังต้องรับรู้อย่างสะเทือนสั่นไหว

มือของพี่โฟ กลายเป็นมือสำคัญที่ฉุดกระชากฉันไว้

มือของพี่โฟที่สั่นเทาอย่างตระหนกรุนแรง เฝ้าคอยแต่จะโอบอุ้มฉันไว้

 

——————————————————————————————————–

(1)บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง