อาชญากรรม : ตร.ส่งสำนวนถึงอัยการ ฟ้อง “เปรมชัย” 9 ข้อหา ฟันเพิ่ม “งาช้าง-ติดสินบน” เจ้าตัวโต้ไม่ได้ฆ่าเสือดำ

ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดว่าทำงานอย่างล่าช้า

แต่ข้อเท็จจริงก็คืบหน้าไปตามลำดับ

สำหรับคดีที่ซีอีโอบริษัทอิตาเลียนไทย ถูกจับคาป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พร้อมซากสัตว์อีกจำนวนมาก

ก่อนจะถูกแจ้ง 9 ข้อหาหนัก ฐานเข้าไปลักลอบล่าเสือดำในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

เมื่อพนักงานสอบสวนนำโดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. สามารถยื่นสำนวนสั่งฟ้องให้กับอัยการพิจารณา

ใช้เวลารวบรวมพยานหลักฐาน 36 วัน สอบพยาน 51 ปาก วัตถุพยานนิติวิทยาศาสตร์ 225 ชิ้น

นอกจากนั้นก็เดินหน้าแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในความผิดอีก 3 ข้อหา

พร้อมคำมั่นสัญญาของรอง ผบ.ตร. ว่า เสือดำไม่ตายฟรีแน่นอน

ขณะที่นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหา ก็ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าเสือดำ

กลายเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรม

ขณะที่คนทั้งประเทศกำลังจับตา

ตร.ส่งอัยการฟ้องเปรมชัย 9 ข้อหา

หลังจากผ่านมานับเดือน ในที่สุดพนักงานสอบสวนคดีเจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารบริษัทอิตาเลียนไทย ก็สรุปสำนวนคดีฆ่าเสือดำส่งอัยการ

โดยเมื่อวันที่ 13 มีนาคมที่ผ่านมา พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. พร้อมคณะเดินทางไปยังที่ สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อตรวจสำนวนเตรียมส่งให้อัยการจังหวัดทองผาภูมิ พิจารณาสั่งฟ้องนายเปรมชัย และพวกรวม 4 คน ในข้อหาความผิดเกี่ยวกับการล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

โดย พล.ต.อ.ศรีวราห์ ระบุว่า จากการสอบปากคำพยานทั้งสิ้น 51 ปาก หลักฐานและวัตถุพยานไปตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ 28 รายการ จำนวน 225 ชิ้น เอกสารสำนวน 2 แฟ้ม รวม 857 หน้า

ใช้รวบรวมพยานหลักฐานทำสำนวนคดีนี้เพียง 36 วัน ก็มีความเห็นสั่งฟ้องได้ทั้ง 9 ข้อหา มั่นใจพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ 99 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 1 เปอร์เซ็นต์ คือหลักฐานบางส่วนเล็กๆ น้อยๆ จากทางกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช

โดย 9 ข้อหาประกอบด้วย

1. ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

2.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

3. ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

4.ร่วมกันมีไว้ในครอบครอง ซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

5.ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพากันเอาไปเสีย หรือรับไว้ด้วยประการใดๆ เข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

6. ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

7. ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

8.ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่

และ 9. ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร

ขณะที่นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า คดีนายเปรมชัยเป็นคดีสำคัญ ดังนั้น เพื่อการพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรอบคอบ รวดเร็ว และโปร่งใส นางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อร่วมกันพิจารณาคดี ประกอบด้วย นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายทนง ตะภา อัยการจังหวัดทองผาภูมิ พ.ต.ท.อำนาจ สุจริตชัย รองอัยการจังหวัดกาญจนบุรี เป็นคณะทำงาน และนายกฤษฎา ชูโต รองอัยการจังหวัดทองผาภูมิ คณะทำงานและเลขานุการ โดยจะแถลงความคืบหน้าเป็นระยะ

ส่วนจะมีความเห็นสั่งฟ้องภายในระยะเวลากี่วันนั้นยังไม่สามารถตอบได้ ต้องขอเวลาอ่านสำนวนเสียก่อน แต่ยืนยันว่าไม่มีใครสั่งอัยการได้ ย้ำอัยการมีอิสระพิจารณาสำนวนตามขอบเขตของกฎหมาย

เป็นคำยืนยันจากอัยการ

เจอเพิ่ม “งาช้าง-ติดสินบน”

นอกจาก 9 ข้อหาในการเข้าไปล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เจ้าหน้าที่ก็เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มกับนายเปรมชัย ในความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนที่พบในบ้านของนายเปรมชัย ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามี 2 กระบอกที่ผิดกฎหมาย

รวมทั้งคดีติดสินบน และงาช้างที่พบภายในบ้านพักเช่นกัน ซึ่งจากการตรวจสอบแล้วพบว่างาช้างทั้ง 4 กิ่งมีเอกสารแจ้งว่าเป็นงาช้างบ้าน แต่เมื่อตรวจสอบดีเอ็นเอแล้วพบว่าเป็นงาช้างแอฟริกา ซึ่งจดทะเบียนในชื่อของนางคณิตา วิทยานันท์ ภรรยาของนายเปรมชัย

เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) จึงมีความเห็นให้เรียกนายเปรมชัย นางคณิตา และ น.ส.วันดี สมภูมิ ผู้เซ็นรับรองงาช้างบ้านนายเปรมชัยมารับทราบข้อหาในวันที่ 14 มีนาคม

ขณะที่ บก.ปปป. ก็เดินทางมารอแจ้งข้อกล่าวหานายเปรมชัย ในข้อหาพยายามติดสินบนเจ้าหน้าที่ด้วย

โดยเมื่อเวลา 10.00 น. นายเปรมชัย พร้อมนายวิทูล แย้มพราย ทนายความ เข้าพบ พล.ต.ต.ปัญญา ปิ่นสุข ผบก.ปทส. และ พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผบก.ปปป. เพื่อรับข้อหาตามหมายเรียก ขณะที่นางคณิตา และ น.ส.วันดี ทำหนังสือขอเลื่อนนัด

โดยนางคณิตา ระบุว่าติดอบรมที่ศาล ส่วน น.ส.วันดี ระบุว่าเพิ่งได้รับหมายเรียกในวันที่ 13 มีนาคม จึงไม่สามารถเตรียมเอกสารได้ทัน

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงออกหมายเรียกครั้งที่ 2 ให้มารับทราบข้อหาภายในวันที่ 20 มีนาคม

หากไม่มาตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ก็จะพิจารณาออกหมายจับต่อไป

ซึ่งหลังจากแจ้งข้อหาความผิดเกี่ยวกับงาช้าง จะประสานกรมศุลกากรให้ตรวจสอบว่านายเปรมชัยได้ขออนุญาตนำงาช้างเข้ามาหรือไม่ เป็นของลักขโมยมาหรือไม่ หากพบว่าไม่ได้ขออนุญาต ก็จะมีความผิดเพิ่มด้วย

ส่วนเรื่องคดีติดสินบนเจ้าพนักงานนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ก็ได้แจ้งข้อหา พร้อมทั้งสั่งการให้สืบสวนเพิ่มเติมว่ามีใครเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ หากพบว่ามีก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติม

ขณะคดีอาวุธปืนที่พบในบ้านนายเปรมชัย เจ้าหน้าที่จะเร่งรัดสรุปสั่งแจ้งข้อหาได้ภายในวันที่ 30 มีนาคมนี้ เนื่องจากมีประเด็นเรื่องปืนคาบศิลาโบราณ ที่นายเปรมชัยครอบครอง ว่ามีความผิดเกี่ยวกับโบราณวัตถุหรือไม่

หากไม่สามารถแจ้งที่มาที่ไปได้ ทรัพย์ก็ต้องตกเป็นของแผ่นดิน

นี่คือวิบากกรรมที่รอคอยนายเปรมชัยอยู่

เสี่ยเปิดใจยันไม่ได้ฆ่าเสือดำ

ภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา พร้อมสอบปากคำเพิ่มเติมนานกว่า 2 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ก็คุมตัวนายเปรมชัยไปส่งฝากขังศาลในคดีงาช้าง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ บก.ปทส. ไม่ได้ยื่นคัดค้านประกัน เนื่องจากนายเปรมชัยเดินทางมามอบตัวด้วยตัวเอง

ซึ่งศาลอนุญาตให้ประกันตัวโดยยื่นหลักทรัพย์ 3 แสนบาท

โดยขณะที่เดินทางออกจาก บก.ปทส. นายเปรมชัยก็เปิดใจเป็นครั้งแรกหลังถูกคดีล่าเสือดำ ว่า “ขอโทษที่ทำให้ทุกคนมาคอยทั้งวัน ทำให้ลำบาก ในส่วนของวันนี้ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอต่อสู้คดีตามความจริง เสียใจที่ทุกคนมองผมในแบบนั้น ผมยืนยันไม่ได้ฆ่าเสือดำ แต่ว่ายังไงความจริงก็ต้องปรากฏในชั้นศาล ผมขออนุญาตไปศาลก่อน เกรงว่าจะไม่ทัน”

ต่อมาที่ศาลอาญา รัชดา นายเปรมชัยให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ระบุว่า “เสียใจที่ข่าวได้ออกมาเป็นแบบนั้น เสียใจที่สังคมก็ได้มองแบบนั้นเช่นกัน ผมก็ต้องบอกได้แค่ว่าผมบริสุทธิ์นะครับ”

“ส่วนเรื่องคดีผมก็ต้องต่อสู้ตามความเป็นจริงทุกอย่าง ซึ่งในตอนนี้ผมไม่สบายใจมากที่สังคมมองผมแบบนี้”

“ผมอยากจะบอกสังคมว่า ให้รอเวลา รอให้ศาลตัดสินเสียก่อน ในส่วนของสำนวนคดีที่มีความเชื่อมโยงกับการเมืองนั้น ยืนยันว่าไม่มี ผมก็พูดมากไม่ได้เพราะว่าทุกอย่างกำลังอยู่ในสำนวนคดี”

“ผมเชื่อว่าผมบริสุทธิ์”

ทั้งนี้ หลังจากที่นายเปรมชัยตกเป็นผู้ต้องหาในคดีล่าเสือดำ ก็เก็บตัวเงียบมาโดยตลอด ไม่ได้ออกมาตอบโต้กับกระแสโจมตีใดๆ

มีการปรากฏตัวต่อสาธารณะก่อนหน้านี้ก็คือการมาพบพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา

โดยครั้งนั้นมีคลิป “รับไหว้” กับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ปรากฏออกมาเรียกเสียงฮือฮาจากสังคม จนเป็นส่วนหนึ่งที่เรียกร้องให้เปลี่ยนตัว พล.ต.อ.ศรีวราห์พ้นจากคดีเสือดำ

ต่อมานายเปรมชัย ได้ขออนุญาตศาล เดินทางด้วยเครื่องบินเจ๊ตส่วนตัวไปยังประเทศบังกลาเทศ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม แล้วเดินทางกลับเข้าประเทศไทยในวันที่ 11 มีนาคม

ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งเมื่อรับทราบข้อหาเพิ่มเติม

ต้องต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมอีกหลายยก