ต่างประเทศ : “โนวิชก” สารพิษทำลายประสาท เครื่องมือจัดการอดีตสายลับรัสเซีย

เหมือนภาพอดีตกลับมาซ้ำอีกครั้ง กับเหตุการณ์ที่ เซร์เก สกรีปาล อดีตสายลับรัสเซีย วัย 66 ปี พร้อมกับลูกสาว ยูเลีย วัย 33 ปี ถูกวางยาพิษ ที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ “อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก” อดีตสายลับรัสเซียอีกคน ที่เคยถูกวางยาพิษจนเสียชีวิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน

และหน่วยสืบราชการลับ “เอ็มไอ5” ของอังกฤษ เชื่อว่าการวางยาพิษครั้งนี้ เป็นฝีมือของรัฐบาลรัสเซีย เหมือนคราวก่อน!

เซร์เก สกรีปาล และลูกสาว ถูกพบนอนหมดสติอยู่ที่ม้านั่งตัวหนึ่ง ที่เมืองซอลส์บรี ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา และมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ

เมื่อตรวจดูก็พบว่า พ่อลูกคู่นี้โดนสารบางอย่างที่เป็นพิษทำลายประสาทเข้าไปในร่างกาย

หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้เร่งตรวจสอบสถานที่โดยรอบ และพบสารพิษดังกล่าวอยู่ภายในร้านอาหาร “ซิซซี” และผับ “เดอะมิลล์” ใกล้ๆ กับบริเวณม้านั่งที่พ่อลูกคู่นี้นั่งหมดสติอยู่

จึงได้มีการแนะนำให้ผู้ที่ไปบริเวณดังกล่าวในช่วงวันเกิดเหตุ ให้ซักเสื้อผ้าของตัวเองให้สะอาดที่สุดเท่าที่จะทำได้ และนำสารพิษที่พบไปตรวจสอบ

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากการตรวจสอบอย่างละเอียด ก็ได้รายละเอียดเกี่ยวกับสารพิษที่พบ โดยนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้เปิดเผยต่อสภาอังกฤษว่า สารพิษทำลายประสาทดังกล่าวเป็นสารพิษทำลายประสาทกลุ่ม “โนวิชก” ที่อดีตสหภาพโซเวียตพัฒนาขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว อังกฤษจึงมีความเชื่อมั่นว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัสเซียจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามลอบสังหารสองพ่อลูกชาวรัสเซียคู่นี้

บีบีซีได้รายงานเกี่ยวกับสารพิษโนวิชก เอาไว้ว่าโนวิชกเป็นภาษารัสเซีย ที่แปลว่า “เด็กผู้เกิดใหม่” เป็นกลุ่มสารพิษทำลายระบบประสาทขั้นสูง ที่พัฒนาขึ้นโดยสหภาพโซเวียต ในช่วงทศวรรษ 1970 และ 1980 ซึ่งเป็นอาวุธเคมี “รุ่นที่ 4” ที่พัฒนาขึ้นจากโครงการของโซเวียต

โดยชื่อของโนวิชก เป็นที่รู้จักกันขึ้นมาหลังจากเมื่อปี 1999 เจ้าหน้าที่กลาโหมของสหรัฐกลุ่มหนึ่ง ได้เดินทางไปยังประเทศอุซเบกิสถาน เพื่อช่วยรัฐบาลอุซเบกิสถานในการรื้อถอนและกำจัดสิ่งปนเปื้อนบริเวณพื้นที่ทดสอบอาวุเคมีที่ใหญ่ที่สุดของอดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งเจ้าหน้าที่ของสหรัฐกล่าวว่า สถาบันวิจัยเคมีทางตะวันตกของอุซเบกิสถาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต เป็นสถานที่สำคัญที่ไว้ใช้ทำการวิจัยอาวุธเคมีที่เป็นพิษสูง และเป็นความลับรุ่นใหม่ ที่มีชื่อว่า “โนวิชก”

ซึ่งชาวรัสเซียแปรพักตร์ระดับอาวุโสผู้หนึ่งเปิดเผยว่า โซเวียตได้ใช้โรงงานแห่งนี้ในการผลิตและทดสอบโนวิชก ในกลุ่มเล็กๆ ซึ่งสารพิษทำลายประสาทนี้ออกแบบมาเพื่อไม่ให้ผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติตรวจสอบได้ง่ายๆ

โดยหนึ่งในสารพิษกลุ่มโนวิชก ที่เรียกว่า เอ-230 นั้น มีความร้ายแรงกว่าสารพิษทำลายประสาท “วีเอ็กซ์” ถึง 5-8 เท่า ซึ่งสารพิษวีเอ็กซ์นี้ เชื่อว่าเป็นสารพิษที่ถูกนำไปใช้ในการลอบสังหารนายคิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือที่สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ศาสตราจารย์แกรี สตีเฟ่นส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเรดดิง เปิดเผยว่า โนวิชก เอ-230 มีความรุนแรงและซับซ้อนมากกว่าก๊าซซาริน หรือวีเอ็กซ์ อีกทั้งยังยากต่อการตรวจพบ

โดยมีการผลิต เอ-230 ขึ้นมาหลายชนิด และหนึ่งในนั้นได้รับการรับรองเพื่อไว้ใช้ในกองทัพรัสเซียในฐานะเป็นอาวุธเคมีชนิดหนึ่ง

 

สําหรับโนวิชกนั้น มีทั้งชนิดที่เป็นของเหลว และที่เป็นของแข็ง อีกทั้งยังสามารถทำให้เป็นผงแป้งได้อีกด้วย ซึ่งหากใครสูดดมสารโนวิชกนี้เข้าไป หรือแม้แต่ผิวหนังสัมผัสกับสาร จะเกิดผลตามมาอย่างรวดเร็ว

โดยอาการจะเริ่มเห็นตั้งแต่ 30 วินาทีแรกไปจนถึง 2 นาที แต่หากเป็นชนิดผง จะออกอาการช้ากว่า โดยบางรายจะไม่มีอาการให้เห็นจนกว่าจะ 18 ชั่วโมงขึ้นไป

ส่วนอาการที่เกิดจากสารโนวิชกนั้น ก็จะเหมือนกับสารทำลายประสาทอื่นๆ คือจะไปปิดกั้นการสื่อสารระหว่างระบบประสาทกับกล้ามเนื้อ แล้วทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายล้มเหลว อย่างเช่น รูม่านตาหด ชักกระตุก น้ำลายยืด และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด จะทำให้เกิดอาการขั้นโคม่า ทำให้ระบบหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด

ซึ่งเบื้องต้นสารพิษนี้จะไปทำให้หัวใจเต้นช้าลง ปิดกั้นทางเดินหายใจ จนนำไปสู่การเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ

แถมสารพิษโนวิชกบางชนิด ยังออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อป้องกันยาถอนพิษทำลายระบบประสาทด้วย

ซึ่งหากใครถูกสารพิษนี้เข้าไป จะต้องรีบถอดเสื้อผ้า แล้วล้างผิวหนังด้วยสบู่และน้ำ รวมทั้งล้างตาและให้ออกซิเจน

โนวิชกจึงถือเป็นสารพิษที่ร้ายแรงอย่างมาก

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เกิดขึ้น ทำให้หลายคนคิดไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก อดีตสมาชิกของเอฟเอสบี หน่วยสืบราชการลับของรัสเซีย ผู้แปรพักตร์ ที่ถูกวางยาพิษขณะอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.2006 ก่อนที่ลิตวิเนนโกจะล้มป่วยลงเป็นเวลา 3 อาทิตย์ และเสียชีวิตในที่สุด

ซึ่งผลจากการสอบสวนพบว่า ลิตวิเนนโกโดนยาพิษชนิดร้ายแรงเข้าไป ทำให้ถึงแก่ชีวิต

นางมารีนา ลิตวิเนนโก ภรรยาม่ายของอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก เปิดเผยกับบีบีซีว่า เจ้าหน้าที่อังกฤษไม่ได้ทำงานอย่างดีพอตามที่เคยสัญญาไว้ว่า จะทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อป้องกันการก่ออาชญากรรมเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับสามีของเธอ

และว่า อังกฤษไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยจากบทเรียนที่เกิดขึ้นจากการตายของอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการกล่าวหาว่ารัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารอดีตสายลับครั้งนี้ หากแต่รัสเซียก็ออกมาปฏิเสธอย่างเสียงแข็ง และว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นเพียงการทำลายความน่าเชื่อถือของรัสเซียก่อนหน้าการจัดฟุตบอลโลกเดือนมิถุนายนนี้เท่านั้น

ที่สุดแล้ว ปัญหาเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป