จรัญ พงษ์จีน : มูลเหตุคว่ำ 7 กกต.คืออะไร?

จรัญ พงษ์จีน

ยังวิเคราะห์ไม่ออก หาบทสรุปยังไม่ได้ กับกรณีที่ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” (สนช.) ประชุมเพื่อมีมติให้ความเห็นชอบ-ไม่เห็นชอบผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ไปดำรงตำแหน่ง “กรรมการการเลือกตั้ง” หรือ “กกต.”

ที่ผ่านกระบวนการมาอย่างถูกต้อง จากคณะกรรมการสรรหา และที่ประชุมใหญ่ “ศาลฎีกา” มาเป็นที่เรียบร้อยแล้วจำนวน 7 ราย และชงลูกให้ “กรรมาธิการสามัญ” ตรวจสอบ “คุณสมบัติ” ทั้งประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของผู้ได้รับการเสนอชื่อในการดำรงตำแหน่ง

และ “กมธ.” รับประกันคุณภาพ ประทับตรา “คลีน” เมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบปัญหาว่าผู้สมัครคนหนึ่งคนใดมีความผิดร้ายแรงมาก่อน

ซึ่งปรากฏว่าในขั้นตอนการลงมติของ “สนช.” ผลกลับออกมาอีกอย่างซะงั้น ถูกคว่ำยกกระดานทั้ง 7 ราย ไล่ตั้งแต่

1. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เห็นชอบ 27 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 156 คะแนน งดออกเสียง 17 คะแนน

2. นายอิสรรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ เห็นชอบ 30 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 149 คะแนน งดออกเสียง 21 คะแนน

3. นายประชา เตรัตน์ เห็นชอบ 57 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 125 คะแนน งดออกเสียง 18 คะแนน

4. นายเรืองวิทย์ เกษสุวรรณ เห็นชอบ 10 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 175 คะแนน งดออกเสียง 14 คะแนน

5. นางชมพรรณ์ พงษ์เจริญ สุธีรชาติ เห็นชอบ 16 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 168 คะแนน งดออกเสียง 16 คะแนน

6. นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี เห็นชอบ 46 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 128 คะแนน งดออกเสียง 26 คะแนน

7. นายปกรณ์ มหรรณพ เห็นชอบ 41 คะแนน “ไม่เห็นชอบ” 130 คะแนน งดออกเสียง 29 คะแนน

ส่งผลให้ผู้สมัครเพื่อดำรงตำแหน่ง “กกต.” ทั้ง 7 คนต้องกอดคอกันรับประทานแห้ว และถูก “ตอกฝาโลง” สนิท จะไม่สามารถเข้าร่วมกระบวนการสรรหาครั้งต่อไปได้อีก

มีการปล่อยข่าวในเบื้องต้นถึงมูลเหตุที่ “รถหมูคว่ำ” โดย “สนช.” มีมติด้วยเสียงข้างมาก “ไม่เห็นชอบ” กับว่าที่ 7 กกต. เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ยังไม่เชื่อมั่นในฝีไม้ลายมือของผู้ได้รับการเสนอชื่อ ลบหลู่ว่า ชื่อชั้นล้วน “โนเนม” ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของสาธารณะและไม่เคยโชว์ผลงานด้านการเลือกตั้งให้เป็นที่ประจักษ์มาก่อน

อีกกระแสบอกว่า เนื่องจากที่ “ประชุมลับ” ในภาคเช้าของ “สนช.” มีความวิตกกังวล จากตัวแทนที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 2 คน ในขั้นตอนกระบวนการสรรหา มีเสียงเตือนมาหลายสาย ว่าอาจจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ

ทาง “สนช.” เลยร่วมด้วยช่วยกันหาทางออกเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว จึงกดปุ่มด้วยการลงมติไม่เห็นชอบผู้สมัครแบบเหมาเข่ง รวบยอดไปทั้ง 7 ราย ไม่ได้ล้มโต๊ะตามใบสั่งของใคร ที่อยากได้ “กกต.” ระดับ “สเป๊กเทพ” ตัวเป็นๆ ซึ่งรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 กำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้ตัวนี้เอาไว้สูง ถึงสูงมาก

เมื่อทุกท่านจินตนาการแล้วเห็นว่ายังไม่มีใครเข้าแก๊ป “สนช.” เลยประติมากรรม สอยยกราวทั้ง 7 คน เหมารอบไปทีเดียวเสียเลย

 

อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องมาจากร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วย “การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.” หรือ “กฎหมายลูก” 2 ฉบับที่ยังติดติ่งอยู่ในขั้นตอนการถกแถลงของกรรมาธิการ 3 ฝ่าย ใกล้จะครบกำหนดอยู่หลัดๆ

สรุปก็คือ “กฎหมายลูก” 2 ฉบับสุดท้าย จวนจะจบบริบูรณ์ในกลางเดือนมีนาคมแล้ว หากไม่สะดุดปังตออะไร

จึงประหวั่นพรั่นพรึงกันมากว่า หาก “กฎหมายลูก” คลอดเรียบร้อย แต่ “ว่าที่ กกต.” ถูกล้างป่าช้า จะทำให้กระบวนการเลือกตั้งมีปัญหา เพราะต้องเริ่มต้นนับหนึ่งของการสรรหาใหม่ ทั้ง 2 ภาคส่วนคือ จาก คณะกรรมการสรรหา และที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ใช้กรอบเวลา 90 วันหรือ 3 เดือน

โดยจะใช้ “แผน 2” ไว้รองรับ นั่นก็คือ หากกระบวนการสรรหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งยังไม่แล้วเสร็จ

ก็สามารถใช้บริการ “กกต.ชุดเก่า” ไปพลางๆ ก่อน สามารถปฏิบัติหน้าที่ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าจะมี “กกต.ชุดใหม่” จึงไม่กระทบต่อโรดแม็ปเลือกตั้งแต่ประการใด

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การให้อำนาจ “กกต.ชุดเดิม” รักษาการไปพลางก่อน มันก็มีเสี่ยงอยู่มิใช่น้อย เนื่องจากเหลือที่นั่งสำรองอยู่แค่ 5 คนเท่านั้น

ในเดือนสิงหาคม ช่วงคาบเกี่ยวกับกฎหมายลูกเรียบร้อย จะต้องถ่อสังขารอันไม่เที่ยงออกจากตำแหน่ง เนื่องจากอายุขัยเข้าเกณฑ์กลับบ้านไปเลี้ยงหลาน เพราะครบ 70 ปี แถมมีข่าวว่าบางคนเตรียมไขก๊อก เพราะไม่อยากจะเด้งรับเผือกร้อน ซึ่งมั่นใจว่าจะถูกฟ้องร้องตามมาอีกหลายคดี จากเวทีเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะระเบิดขึ้นก่อน

ไปสู่ที่ชอบๆ เสียก่อน สบายกว่ากันเยอะเลย

และล่าสุด “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร” ฉีกตัวลาออกไปสมัครเป็นเลขาธิการ กกต. แล้ว ทำให้เหลือ กกต. อยู่แค่ 3 คน ซึ่งก็มีปัญหาแน่นอนอยู่แล้วในเรื่ององค์ประชุม

กลับไปที่มุมวิเคราะห์ที่ว่า การที่ สนช. มีมติไม่ให้ความเห็นชอบ 7 กกต. สอบผ่าน จุดประสงค์หลักเพื่อให้วันเลือกตั้งยืดออกไป และเพื่อเปิดช่องให้ “ผู้มีอำนาจมาก” อยากหา “ลูกไล่” สั่งซ้ายหัน ขวาหัน กดปุ่มได้

เป็นไปตามแผน “เขาอยากอยู่ยาว” คุมศูนย์อำนาจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญ 2560 ดังที่ทราบ “กกต.” มีอำนาจอวยให้คุณให้โทษกับพรรคการเมือง คนการเมืองได้มากมหันต์

การแข่งขันหลังเลือกตั้ง จะดุเดือดเลือดพล่าน ชิงดำกันระหว่าง “นายกฯ คนนอก” ซึ่งมี “พรรค ส.ว.” เป็นฐานใหญ่ กับ “นายกฯ คนใน” ที่มาจากการเลือกตั้ง

ดังนั้น ที่ประเมินว่า การที่ 7 กกต. ถูกคว่ำ เพื่อรอใช้บริการ “มวยสร้าง” ที่เป็นชุดใหม่

น่าจะ “มองผิด” เพ่งพิจารณากันให้ลึก ใช้วิจารณญาณหลายๆ ครั้ง “กกต.” ชุดนี้น่าจะเป็น “ร่างทรง” รสแท้ แม่ให้มา ตัวจริงเสียงจริง

การที่เรื่องมันจบลงเช่นนี้นี่เอง ว่าที่ กกต. ถูกล้มกระดานยกกรุทั้ง 7 คน

มองไปอีกช็อต ขอบอกว่า ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เป็นรายการ “หักเหลี่ยมโหด” กันมิใช่ธรรมดา

“มือที่มองไม่เห็น” เปิดปฏิบัติการสั่งสอนใครเข้าให้แล้วละนั่น

“ยกที่หนึ่ง” แค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น “พี่น้อง”