การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ บางครั้ง ฉันก็หอนมันเป็นบทกวี

อาณาจักรใจ

[ฉันกำลังเดินอยู่ในทุ่งหญ้าแสนสวย มีเสียงนกร้องดังจิ๊บๆ อยู่ไปมา ไม่ไกลนัก มีผีเสื้อสวยงามกำลังบินว่อน…โอ้ ปีกของพวกมันช่างงดงามเหลือเกิน หมู่ภมรพากันบินโผจากดอกไม้ดอกนั้นไปหาดอกนี้ บางตัวเอาปากจุ่มดูดกินน้ำหวานจากเกสรอย่างเพลิดเพลิน…

ฉันออกเดินทอดน่องไปอย่างช้าๆ…]

ชาติหมาเอ๊ย!

ปากกาเกือบกระเด็นไปถึงข้างผนัง จากแรงที่เหวี่ยงออกไปไม่รู้ตัว ขณะที่ตัวหนังสือบนหน้ากระดาษเริ่มพร่าพรายอยู่ในสายตา

นี่มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในใจฉันเลย

ไม่ใช่สักนิดเดียวเลย

 

“ไหน วันนี้เขียนอะไรอีก เอามาให้ดูหน่อยซิ”

ร่างหนานอนหงายอยู่บนที่นอน เหงื่อซึมชื้นบนไรขนเต็มแผงอก พลางรั้งเอาหัวฉันเข้าไปใกล้วงแขน

“อยากเป็นนักเขียนจริงๆ หรือเรา”

ฉันไม่รู้จะตอบอะไร

“ทำไมถึงอยากเป็นนักเขียน เพราะอะไร”

ฉันยังนึกไม่ออกว่าจะตอบว่าอย่างไร

“งานวรรณกรรมเป็นของยิ่งใหญ่” ชายที่เริ่มมีกลิ่นสาบขึ้นทุกวัน พูดด้วยน้ำเสียงแฝงความภาคภูมิใจ “คนชอบอ่านหนังสือเป็นคนที่มีความลึกซึ้ง”

ฉันยังคงได้แต่นอนนิ่ง

“อย่างเฮียนี่ อ่านมาเยอะเลย เรื่องอะไรต่อมิอะไร ที่ว่าเป็นวรรณกรรมชั้นเอกของโลก ผ่านตามาหมดแล้ว”

ฉันรู้สึกระบมที่ท่อนล่าง และเต้านมก็ยังเจ็บอยู่แปล๊บๆ จากการคลึงเคล้น จนไม่อยากจะเคลื่อนไหวอะไรอีก

“ถ้าเฮียลุกมาเขียนหนังสือบ้างนะ รับรองว่าซีร้งซีไรต์จะไม่พลาด ได้แน่นอน”

ฉันอยากหลับตาลงนานๆ แต่แสงจากหน้าต่างก็ยังแลลอดเข้ามาจนระคายตาอยู่ดี

ลืมตา…ทว่า แสงก็จ้าเกินไป

ไม่มีอะไรพอดีกับชีวิตกูเลยหรือ

“แล้วเฮียจะบอกอะไรให้” มือหยาบควานมาใกล้นมฉันอีกครั้งอย่างเคยชิน “ถ้าอยากเป็นนักเขียนดัง ก็ต้องหัดเขียนอะไรสวยๆ งามๆ เขียนเรื่องความรักที่บริสุทธิ์”

เสียงกลั้วหัวเราะตอนท้าย จนฟังไม่ออกว่าหมายความถึงอะไร

มันเป็นยังไงกันล่ะ ความรักที่บริสุทธิ์ แบบที่ปากมีกลิ่นอายขี้ห่า พ่นคำกระซิบเข้ามาในหูต่อมาหรือ

“ฝึกเขียนให้มันมีศิลปะ มีวรรณศิลป์ ไม่ยากหรอก เดี๋ยวเฮียจะสอนให้”

 

นี่มันคืออะไรกัน ฉันอดมีคำถามขึ้นมาไม่ได้ เมื่อที่นอนไหวยวบขึ้นอีกครั้ง และจะเป็นอีกครั้ง ที่เรื่องบางอย่างก็เพียงจะดำเนินไปตามครรลอง

ร่างของฉันเพียงแต่รองรับร่างที่ขยับขึ้นมาหยัดแขนคร่อม ใช้เข่าดันขาฉันออกกว้าง และแทรกร่างเข้ามา

ชิน…มากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะไม่ค่อยเจ็บอีกแล้ว แต่ก็นั่นเอง หากปราศจากใบแดงพวกนั้น ฉันก็อาจจะรีบลุกจากไป

 

“มึงทำให้กูเจ็บแท้ อีพี่!”

เสียงของพี่โฟดังก้องอยู่ในห้องเช่า แม้เมื่อไฟดับสนิทหมดแล้ว และต่างนอนบนฟูกคนละผืน

“กูน่าจะรู้เช่นเห็นชาติมึงมาตั้งนานแล้ว นิสัยอย่างนี้! กูหนอกู! มาหวังดีกับมึงทำไม!”

“พี่ไม่ต้องพูดนักหรอก!”

อดรนทนไม่ได้ ฉันก็สวนเสียงออกไป

“ฉันจะรู้รึ ว่าพี่คิดอะไรยังไง ในเมื่อที่ผ่านมา…”

“หน็อย! อีพี่!” พี่โฟแทรกเสียงขึ้นฉับพลัน ไม่พอยังผุดลุกขึ้นอีกในความมืดสลัว

“ที่ผ่านมามันเป็นยังไง ไม่ใช่กูรึ! ที่คอยช่วยเหลือให้ข้าวให้น้ำมึง ช่วยเสาะหางานทำแต่ละครั้ง ใช่กูมั้ย!”

ดูเหมือนว่า สิ่งต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น พี่โฟจะลืมไปแล้วหมดสิ้น ยิ่งสาธยายออกมาเท่าไหร่ ยิ่งกลายเป็นคนละเรื่องกับที่ตกค้างในความทรงจำ

…ความทรงจำ หรือมันเป็นเพียงของเฉพาะของใครของมัน

ความทรงจำของฉัน

ไม่ใช่ความทรงจำเดียวกันกับของคนอื่นเลย

 

“ขยับขาอีกหน่อยสิ”

เสียงห้าวออกคำสั่งที่ข้างหูอีก

“ทำไมวันนี้น้ำ_ีไม่ออกเลย”

“…หนูเหนื่อย”

“อะไร ตัวแค่นี้ เฮียยังไม่เหนื่อยเลย ยังฟิตเปรี๊ยะ…จับดูสิ”

ฉันส่ายหน้า

และพลิกใบหน้า หวังจะเบือนตาไปอีกด้าน

รำคาญแสงที่ส่องลอดเข้ามาเหลือเกิน

“จะหลับตาไปไหน…ลืมตา!”

มือใหญ่หยาบตะปบเข้าที่คาง และรั้งให้หันกลับมา

“…มานี่!”

 

“มึงอย่ามาทำจองหองนักเลยอีพี่! ถึงที่สุด มึงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากูเลยสักนิด!”

ฉันพยายามนับหนึ่งถึงสิบ ไม่อยากจะตอบโต้อะไรอีก

“ทำเป็นว่าเป็นคนหล็วก คนฉลาด! แล้วยังไง มึงก็ไปโดนไอ้แก่นั่นหลอกสำเอาละไม่ว่า”

“ไม่ใช่!”

“ไม่ใช่ยังไง…อ๋อ ไม่ได้โดนหลอก” น้ำเสียงพี่โฟแค่นเยาะ

“แต่มึงแฮ่นเอากับมันเอง…กูละอยากจะเหิดฟ้อนแวดวิหารแท้ๆ…เป็นไง ลูกรักลูกเทวดาของอีพ่ออีแม่ สุดท้ายก็กลายเป็นกะหรี่!”

ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมถึงต้องมีมีดหลายเล่มเหลือเกินอยู่ในมือของเราทั้งคู่ กี่ครั้งที่อีพี่โฟแทงเข้ามา และบังคับให้ฉันต้องเสือกไสปลายด้ามออกไปบ้าง

แล้วเราต่างก็ผลัดกันแทง

ผลัดกันฟาด

กรีดเลือดเชือดเนื้อจนแทบจะชุ่มโชกทั้งสองฝ่าย

ไม่เคยมีอะไรต่างไปจากนี้

ตลอดเวลาก่อนหน้านี้ เว้นเสียแต่เฉพาะคนหนึ่งคนใดได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่

อย่างไม่นานมานี้

“พี่โฟ…” สุดท้าย ฉันก็พูดมันออกไปอีกหนหนึ่ง

“ถ้าพี่มีปัญหากับฉันนัก…จะไปอยู่ที่อื่นเอง”

หากว่า พี่โฟก็ไม่ได้ทำให้อะไรง่ายขึ้นเลย

“ดูมึง! อีพี่! พอกูจี้ใจดำ ก็จะมาทำสลิด คิดจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว…กูไม่ให้มึงไปไหนทั้งนั้น ถ้ากูตกนรก มึงก็ต้องตกกับกูด้วย! จะลอยไปอยู่สวรรค์วิมานของมึงคนเดียว ฝันไปเถอะ!”

“โว้ย! แล้วจะเอายังไงกับกู!!” ฉันแผดเสียงออกไป

“เหอะ” พี่โฟกลับลดเสียงลง และล้มตัวลงนอน

“มึงก็กลับไปคิดสิ จะทำตัวดีๆ กับกูได้ยังไงบ้าง กูเคยให้อะไรกับมึงมาตั้งเท่าไหร่ ชั้นแต่หนนี้…กูก็เสียใจ เพราะหวังจะอยากให้มึงอยู่ม่วนกินหวาน แต่คนอย่างมึงก็สันดานเห็นแก่ตัว…พอเถอะ! กูไม่อยากเถียงกับมึงแล้ว กูอิด เก็บแก้วแตกจนบาดมืออยู่นี่ ก็เพราะมึง!”

 

ฉันจะเขียนถึงความรักที่บริสุทธิ์ได้ยังไง ในเมื่อมันเป็นอย่างไร ฉันก็ไม่เคยพบพานมันเลย

ในหนังสือนิยายที่เคยอ่าน พระเอกนางเอกช่างรักกันอย่างงดงามอ่อนหวาน เวลานางเอกปรากฏตัว ทุกอย่างรอบตัวก็มักจะสวยงาม บางทีโลกจะเริ่มเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ ใครๆ ก็จะตื่นตะลึงกับความงามของพวกเขาพวกเธอ

นิยายตั้งหลายเรื่องที่เคยอ่าน ยังชอบบรรยายถึงภู่ผึ้งคลอเคล้าพฤกษา ในบทอัศจรรย์ก็จะมีลีลายกความเปรียบละเมียดละไมต่างๆ นานา

บทรักของชายหญิง ล้วนแต่มอบความสุขสันต์เลอค่า

หรือว่าเพราะฉันไม่ใช่พวกเดียวกับหมู่คนในนิยาย

พี่โฟด้วย…จริงๆ แล้วก็อาจไม่ได้แตกต่าง

แค่พวกสัตว์พเนจรที่พากันเร่ร่อนไป

หิวโหยขึ้นมามากๆ เมื่อไหร่ ก็หันมาแว้งเขี้ยวขบกินกัน

 

ปากกาด้ามนั้นกระเด็นกระแทกไปที่ผนัง แล้วฉันยังขว้างสมุดตามไปอีกเล่มหนึ่ง

มันช่างเป็นเวลาที่ดี…ที่ไม่มีใครอยู่ในห้องร่วมกับฉัน เมื่อโก้งโค้งลงคลานเข่า และใช้ปากงับทึ้งลังกระดาษที่ทำเป็นโต๊ะโง่ๆ เอาไว้

ไม่พอ ฉันยังตะกายตามไปเอาสมุดกลับมาอีก แล้วลงมือฉีกมัน

ด้วยอุ้งมือที่แห้งระคาย เช่นเดียวกับในซอกขาของฉัน กระชากเอาบทกวีออกจากสมุด…ไม่…ตัวหนังสือเหล่านั้นเป็นรอยหมึกจารึกลงไปแล้ว ฉันไม่อาจแยกมันออกมาจากเนื้อกระดาษตีเส้น

ถ้าจะกลืนมันลงไป…

ไม่! ฉันพ่นถุยมันออกมา รสชาติมันแย่เสียยิ่งกว่าดุ้นเอ็นของไอ้แก่นั่น

ใบแดง…ใบแดงของฉันอยู่ที่ไหน

มันอยู่ในถุงที่รัดหนังว้องเอาไว้ ฉันยังจำได้ มันควรจะยังอยู่ในกระเป๋ากางเกงของฉัน

แต่มันหายไปไหน

มันหายไปไหน!

ไม่นี่…ฉันไม่ได้ใส่กางเกง ฉันกำลังนุ่งซิ่นอยู่

ด้วยผ้าถุงที่เปิดโล่งจนปลายถ่วงรั้งอยู่ มีบางสิ่งกำลังโยกไหวอยู่พร่าพรู

กระเส่าดังก้องอยู่เต็มสองหู

“เดี๋ยวเฮียจะสอนให้ ความรักบริสุทธิ์น่ะ…เฮียจะเปิดบริสุทธิ์ให้เองนะหนู”

กลั้วเสียงหัวเราะชอบใจ…เสียงแบบนั้นดังมาอีกแล้ว…เสียงใคร! และเสียงอะไรแตกอีกเปรื่องปร่าง

ฉันยังโก้งโค้งยกสะโพกอยู่เลย โดยใบหน้าแทบจะฟุบลงกับที่นอนเปื้อนด่างดวงเชื้อรา และมันก็ค่อยๆ ทะลักหยาดย้อยออกมา

“ไม่ได้บริสุทธิ์สักหน่อยนี่! อีห่าเอ๊ย! คิดจะว่าหลอกกูได้หรือ!”

ใบแดงถูกกระชากกลับไปให้พ้นจากปากที่คาบกัดอยู่ ฉันพยายามจะโถมตัวไขว่คว้า ไม่…ฉันทุ่มเทไปขนาดนี้ จะต้องมีสิทธิ์ได้มันกลับมา

แต่ว่า สิ่งที่ยังทะลักอยู่ไม่ขาดสาย ถึงไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของฉัน ก็ทำให้ฉันเจ็บมากเกินไป จนมีแต่เพียงเสียงเท่านั้นที่จะกู่หอนโหยหวนออกมาได้

และคงตั้งแต่นั้น ที่ฉันเรียนรู้มากขึ้นอีกเรื่อยๆ เรื่องการเห่าหอนในหลายวิธี บางครั้ง ฉันก็หอนมันเป็นบทกวี และเคี้ยวกินมันเข้าไป…ในกรงของฉัน