ยานยนต์ /สันติ จิรพรพนิต/’MG ZS’ สมาร์ตเอสยูวี ขับสนุกพอตัว-คุ้มเกินราคา

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์
สันติ จิรพรพนิต
[email protected]

‘MG ZS’ สมาร์ตเอสยูวี ขับสนุกพอตัว-คุ้มเกินราคา

หลังเปิดตัวในเมืองไทยเมื่อปลายปีที่แล้ว “เอ็มจี แซดเอส” (MG ZS) รถเอสยูวี ที่ชูจุดเด่นการใช้งานระบบ “i-SMART” ที่สามารถสั่งการผ่านเสียงภาษาไทยได้เป็นคันแรกของโลก สร้างกระแสได้ร้อนแรงอย่างมาก
โดยเฉพาะกับคำว่า “ฮัลโหล เอ็มจี” ที่ใช้ทักทายก่อนที่ผู้ขับขี่หรือคนในรถจะเริ่มสั่งให้ระบบต่างๆ ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดซันรูฟ ระบบเครื่องเสียง ระบบนำทาง ระบบปรับอากาศ เป็นต้น
ด้วยความไฮเทคและรูปร่างหน้าตาที่ลงตัวทำให้ “เอ็มจี แซดเอส” กวาดยอดจองเดือนแรกกว่า 3,000 คัน ถือว่าไม่ธรรมดาสำหรับค่ายเอ็มจี
ส่วนตัวผมเองอยากลองขับรถรุ่นนี้ตั้งแต่เห็นสเป๊กต่างๆ แล้ว กระทั่งมีโอกาสจึงไม่รอช้าที่จะยืมจัดหนักๆ สักรอบ

จุดเด่นของรถรุ่นนี้รูปร่างหน้าตาที่ล้ำสมัย ออกแบบภายใต้แนวคิดบริต ไดนามิก (Brit Dynamic) กระจังหน้าดีไซน์ใหม่ขนาดใหญ่ ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์ ด้วยเดย์ไทม์รันนิ่ง หรือไฟส่องสว่างตอนกลางวัน ซึ่งออกแบบบโดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “ลอนดอน อายส์” แลนด์มาร์กอีกแห่งของกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประเทศบ้านเกิดของเอ็มจี (แม้ตอนนี้จะอยู่ในมือของมังกรจีนแล้ว) พร้อมไฟตัดหมอกหน้า-หลัง
ชายล่างติดตั้งแผ่นป้องกันใต้ท้องรถสีเงิน ซึ่งล้อกันการกระแทกด้านข้าง และด้านหลังทำให้ภาพรวมดูแข็งแกร่งและสปอร์ตในตัว
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวปรับพับไฟฟ้าอัตโนมัติ โดยเวลาดับเครื่องและล็อกรถกระจกจะพับเก็บเพื่อความปลอดภัย แต่เมื่อสตาร์ตเครื่อง กระจกก็จะกางออกเอง
เส้นสายตัวถังและกระโปรงหน้าออกแบบให้มีเหลี่ยม มีสัน ไฟท้ายทรงสวยแบบแอลอีดีทิวบ์ (LED tube) ไฟเบรกดวงที่สามแบบแอลอีดี
ที่เปิดประตูด้านท้ายสไตล์สปอร์ตซ่อนอยู่ในโลกโก้ “MG”
น่าสนใจสุดไม่พ้นพาโนรามิกซันรูฟ ที่มีขนาดมากถึง 90% ของหลังคาทั้งหมด ติดตั้งราวหลังคาให้ด้วย
ล้ออัลลอย 17 นิ้ว และระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง

ห้องโดยสารเน้นความหรูหราและความสปอร์ตสไตล์รถยุโรป ตกแต่งด้วยสีสันแบบทูโทน และวัสดุซอฟต์ทัชที่บริเวณแผงประตู และแผงคอนโซล รวมทั้งมีเส้นสายสีเงินแซมในบางจุดอย่างลงตัว
พวงมาลัยท้ายตัดทรง “D-shape” ได้อารมณ์รถแข่งและเพิ่มพื้นที่บริเวณต้นขาด้วย เป็นแบบมัลติฟังก์ชั่นมีควบคุมเครื่องเสียง และปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงผลมองเห็นชัดเจนในทุกสภาพแสง
ช่องแอร์ดีไซน์เจ็ต เทอร์ไบน์ ที่ฝั่งซ้ายและขวาแบบสปอร์ต มาตรวัดเรืองแสง 2 วงกลมซ้ายขวา ตรงกลางเป็นหน้าจอแสดงผลมองเห็นชัดเจนในทุกสภาพแสง
หัวเกียร์ขนาดกระชับมือพร้อมถุงหนังหุ้มแท่นเกียร์
เบาะที่นั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง ที่นั่งด้านหลังพับแยกส่วน 60:40 พื้นที่เก็บสัมภาระส่วนท้ายปรับได้สองระดับ โดยปรับระดับเพิ่มขึ้นได้อีก 10 ซ.ม.
เด่นสุดไม่พ้นระบบการเชื่อมต่ออัจฉริยะ i-SMART แสดงผลผ่านหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สามารถควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ ภายในรถยนต์
ควบคุมสั่งการได้ 3 วิธี คือ สั่งผ่านระบบ Voice command ภาษาไทย สั่งการผ่านหน้าจอทัชสกรีนภายในรถ และการสั่งการผ่านไอสมาร์ตแอพพลิเคชั่น (i-SMART application) จากสมาร์ตโฟน
สามารถเปิดระบบการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านแอพพลิเคชั่นในสมาร์ตโฟน ค้นหาจุดหมายด้วยสมาร์ตเนวิเกเตอร์ รวมถึงตรวจสอบสภาพการจราจรได้แบบเรียลไทม์
ระบบยังสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ขับขี่และพัฒนาความสามารถให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวบรวมข้อมูลที่มีความสำคัญและแจ้งต่อผู้ขับได้ตลอดเวลา ทั้งระดับน้ำมันเชื้อเพลิง สภาพการทำงานของแบตเตอรี่ เครื่องยนต์ และระบบเบรก หรือหาเส้นทางที่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน ช่วยแจ้งเตือนการเคลื่อนที่ของรถที่ผิดปกติซึ่งอาจเกิดจากการโจรกรรมผ่านสมาร์ตโฟนได้ด้วย
เครื่องเสียงรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อมยูเอสบี (USB) ช่องจ่ายไฟ 12 โวลต์ กล้องมองหลังและเซ็นเซอร์ถอยหลัง

เครื่องยนต์เบนซินรุ่นใหม่ DOHC VTi-TECH 4 สูบ 1.5 ลิตร ให้พละกำลัง 114 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตร ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อม Manual Mode
ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัต ด้านหลังทอร์ชั่นบีม พร้อมดิสก์เบรก 4 ล้อ
มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง) 1,809 x 4,314 x 1,624 ม.ม. ถือว่ากำลังเหมาะไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไป
ความปลอดภัยจัดเต็มด้วยถุงลมนิรภัย 6 จุด ฯลฯ
โครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA
ระบบควบคุมการทรงตัว SCS ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี ควบคุมการลื่นไถล TCS ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS ฯลฯ

ได้เวลาลองของกันแล้ว อย่างที่บอกว่าผมอยากทดลองระบบ “i-SMART” สั่งการด้วยเสียงอย่างมาก ช่วงแรกๆ อาจจะอึดอัดอยู่บ้าง เพราะหลังจาก “ฮัลโหล เอ็มจี” แล้ว ระบบจะตอบรับ เมื่อสั่งการระบบก็จะทวนคำสั่งอีกรอบ จากนั้นค่ายๆ สั่งเปิด-ปิดระบบที่เราเลือก เรียกว่าหากระบบ “อัตโนมือ” น่าจะเร็วกว่า
แต่พอใช้ไปสักพัก…เอ๊ะ ระบบเริ่มเร็วขึ้นเพราะไม่ได้ทวนคำสั่งแล้ว แต่ปฏิบัติให้ทันที
ที่ผมอึดอัดเล็กๆ คือระบบเปิด-ปิดล็อกประตู เพราะรถรุ่นนี้มีปุ่มสตาร์ต-สต๊อปมาให้ ทว่า ไม่ติดตัวรับสัญญาณเปิด-ปิดล็อกที่มือจับประตูด้านนอก มันเลยรู้สึกแปลกๆ เพราะเวลาจะเข้ารถต้องควักรีโมตจากกระเป๋าออกมากด แต่พอเข้าไปในรถก็วางกุญแจเอาไว้เนื่องจากเขามีระบบปุ่มสตาร์ตมาให้
จริงๆ หากเหมือนรถหลายๆ รุ่นในบ้านเราที่มีตัวรับสัญญาณที่มือจับประตูด้านนอกจะสะดวกกว่านี้ เพราะผู้ขับขี่ไม่ต้องควักกุญแจออกจากกระเป๋าเลย
เสียงเครื่องยนต์เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารไม่มากนัก อัตราเร่งตีนต้นทำได้น่าพอใจ ส่วนช่วงกลางและปลายขึ้นได้เร็วพอสมควรจนไปแตะๆ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เริ่มตื้อ เท่านี้ถือว่าเกินพอสำหรับรถเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร
ทว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือน้ำหนักเท้าที่แตะบนคันเร่ง เพราะหากเผลอกดแรงในความเร็วต่ำหรือกลาง ระบบจะเชนจ์เกียร์ลงมาทันที แม้จะทำให้รถพุ่งวาบออกไปแต่เสียงเครื่องยนต์ก็เอาเรื่อง รวมถึงอัตราการซดน้ำมันก็มากขึ้นตาม
ขนาดตัวถังที่กำลังเหมาะและความสูงของตัวรถ ได้เปรียบเพื่อนร่วมถนนเวลาแซงซ้าย ป่ายขวา หรือวางแผนเบี่ยงไปเลนอื่นๆ เพื่อความรวดเร็วมากขึ้น
ช่วงล่างนุ่มนวลพอสมควรไม่ว่าจะผ่านหลุมบ่อ คอสะพาน หากไม่ได้มาเต็มๆ ถือว่าสบายพอตัว
ภาพรวมทั้งภายนอกและความสะดวกสบาย-ไฮเทคในห้องโดยสาร กับราคาที่ตั้งมาถือว่าเกินคุ้ม
มีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ราคา 679,000-789,000 บาท