การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ ฉันอยากจะหลับไปกับเขาเหมือนกัน

อาณาจักรใจ

[เมื่อนาทีใหม่มาถึง นาทีที่เราอยู่ก็ผ่านไป* (1)

เมื่อชั่วโมงใหม่มาถึง ชั่วโมงที่เรากำลังทุกข์ทนกระวนกระวายอยู่ก็หมดไป

เมื่อวันใหม่มาถึง วันซึ่งเรากำลังเกษมสำราญอยู่ก็สิ้นไป…]

 

อกของฉันยังเต้นอยู่อย่างเร็วแรง แม้เมื่อแขนขาจะเปลี้ยอ่อนลง และร่างยังคงเกยก่ายทับซ้อนกันอยู่

อกหนาที่มีขนดกดำ ก็กำลังค่อยๆ ผ่อนลมหายใจลงเหมือนกัน ในท่าที่เขานั้นนอนหงาย และรั้งให้ขาฉันตะแคงพาดต้นขาอยู่

“เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกัน”

เสียงห้าวๆ พูด

ฉันหลับตาลงชั่วครู่ เพื่อจะซึมซับเอาความร้อนอ้าวเหนอะหนะเข้าไป พยายามคิดถึงสิ่งใดๆ ก็ตามที่เป็นความฉ่ำเย็น

เช่น…เสียงน้ำไหลจากแอ่งฝาย

ในค่ำคืน…ที่ดาวเคยพราวพรายในที่แห่งนั้น

บ้านสีน้ำตาลนั่น

หาก…ก็ไม่อาจรู้สึกถึงมันได้เลย

ยังคงมีเพียงหนืดเหนียวของคราบข้น และกลิ่นอายของร่างกายชุ่มเหงื่อ

“แต่ก็ดีจริงๆ”

น้ำเสียงเอมอิ่มและพอใจ

เปิดเปลือกตาขึ้น หัวของฉันซุกอยู่เพียงใต้ซอกรักแร้ของเขา เส้นขนอีกกลุ่มแทบจะระบนใบหน้า ไม่มีผู้ชายผมถักเปียร่างสูงบอบบาง ปราศจากความเมตตาปรานีใด

มีแต่ความโหยหิวอันหื่นกระหาย และร่างกายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพ่วงพี

กับใบแดงที่เกลื่อนกระจายอยู่สี่ห้าใบ

 

[แม่ชี้ให้ฉันดูนกปีกดำอกขาวที่ฉันชอบ

มันเกาะอยู่บนกิ่งส้มโออีกสองตัว

“มันตายไปตัวหนึ่งแล้วก็จริง แต่มันก็มีตัวใหม่มาทดแทน” แม่พูดด้วยเสียงที่ผ่านโลก

แม่ชี้ให้ฉันดูดอกกุหลาบในกระถาง

“ดอกที่สวยที่สุดเมื่อสองวัน เดี๋ยวนี้มันโรยราอับเฉาจนไม่มีใครมองแล้ว ใครๆ ต่างก็พากันชอบดอกใหม่ที่กำลังผลิบานขึ้นมา”

แม่ชี้ให้ฉันดูสายน้ำที่กำลังไหลเข้ามาสู่ลำคูอันแห้งขอด

และเกสรชมพู่ที่กำลังสยายออกมาแทนที่ดอกที่ร่วงโรยไป…]

 

อดนึกถึงแม่ขึ้นมาไม่ได้ ถึงตอนนี้ เวลานี้ แม่จะทำอะไรบ้างนะ

จะนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ในสวนหลังบ้าน ปักหลักไม้ลงใต้ร่มต้นมะเฟือง ดึงเอาก้านแหย่งมาผ่าซีก แล้วคลึงรูดมันกับเสา เพื่อแกะเอาไส้ในออก อย่างที่มักจะทำเสมอ

มะเฟืองเปรี้ยวเหล่านั้น มันจะหล่นลูกลงเกลื่อนโคนต้นอีกหรือเปล่า

เวลาประมาณนี้ ที่แสงแดดยังร้อนจ้าอบอ้าว หมู่นกที่คอยส่งเสียงอยู่บนยอดไม้ จะแข่งกันเปล่งเสียงเซ็งแซ่ไปอย่างน่ารำคาญอีกไหม

วิทยุของแม่จะเปิดเพลงอะไรอยู่

[“สิ่งที่สวยที่สุดในโลกนี้มีอยู่ดาษดา” แม่กล่าว “แต่สิ่งที่สถาพรนั้นหายาก”

“ความสวยที่สุดในวันนี้ มิได้หมายความถึงความสวยสุดของวันรุ่งขึ้น

ความสุขที่สุดในวันนี้ มิได้หมายความถึงความสุขสุดในวันรุ่งขึ้น

เมื่อนาทีใหม่มาถึง นาทีที่เราอยู่ก็ผ่านไป…”]

 

หนังสือปกแข็งที่นายจ้างชอบให้ฉันอ่านออกเสียง และเป็นเล่มแรกๆ ที่เขาเคยหยิบยื่นให้ คว่ำปกเค้เก้อยู่บนพื้นห้อง

มองไปก็เห็น

ตัวหนังสือในนั้น ช่างเป็นสิ่งที่พร่าพร่างไปด้วยความหมาย

ไม่หรอก…ฉันอาจไม่เข้าใจมันทั้งหมด แต่ก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้นในก้นบึ้งลึกๆ เมื่อตาไล่ผ่าน อ่านไป

ฉันไม่อาจเข้าใจศัพท์สูงๆ และคำใหญ่คำโตเหล่านั้นสักเท่าไหร่

แต่แค่ได้รับรู้ว่า เวลาที่ต้องประคองมันไว้บนหัวกะโหลกของนายจ้าง

พยายามเปล่งปากอ่านออกเสียง ขณะร่างกายส่วนอื่นๆ ถูกตะโบมโลมเคล้า

…จะมีบางช่วงที่ฉันได้หลุดลอยหาย

หายเข้าไปในโลกล่องหนเหล่านั้น

[วันหนึ่ง ระหว่างฤดูหนาวของเดือนธันวาคม ฉันนั่งเล่นอยู่แต่ลำพังในบ้านสวน

ท้องร่องกำลังเอ่อไปด้วยน้ำ และปลาก็ขึ้นมาผุดว่าย

เกสรเขียวอ่อนจนเกือบจะเป็นขาวของชมพู่บานสล้างอยู่ทั่วไป และมวลหมู่แมลงต่างก็พากันมาไต่ตอม

นกเล็กๆ กำลังเสาะแสวงหาอาหาร และส่งสำเนียงอันไพเราะ

แสงแดดกำลังสุกอร่าม และอากาศก็กำลังอุ่นอวล

ฉันกำลังนึกถึงปีใหม่ที่กำลังจะมา]

 

นั่นคือตัวฉันใช่มั้ย ที่กำลังวิ่งระเริงอยู่ในท้องทุ่งข้างหน้า ตีนเปลือยเปล่าย่ำเหยียบลงไปบนพื้นหญ้า ช่างเย็นฉ่ำด้วยละอองน้ำค้างตั้งแต่เมื่อคืน

แล้วนั่นแม่ใช่มั้ย ยิ้มพรายด้วยนัยน์ตาเจิดจ้าสุกใส

แม่สวมเสื้อสีแดงกลีบดอกหางนกยูง…จริงสิ ดอกหางนกยูงสีส้ม ที่ลมจะพัดพาพวกมันโปรยปลิวลงมา

เวลาตกลงพื้น จะกลายเป็นผีเสื้อบอบบาง หากเราเผลอไปเหยียบเข้า เท้าของเราก็จะร้อนจี๋ขึ้นมาทันที

ฉันกระโดดขึ้น กระตุกขาเพราะว่าเผลอเหยียบแมลงเล็กๆ เข้าจริงๆ

แล้วแม่ก็หัวเราะ

แน่ะ แม่หัวเราะ แล้วก็มองฉันด้วยสายตาขบขัน

 

นายจ้างก็เป็นคนดี และเขาก็ดีกับฉัน

ด้วยมือที่หนากว้าง เขาวางใบแดงลงบนอุ้งมือของฉัน สอนให้งับมือเข้าไป

จ้องมาในดวงตา และบอกกับฉันว่า

“ไม่ต้องกลัวนะ เฮียไม่เคยทำใครเจ็บ”

[ฉับพลันนั้น ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ฉันไม่อาจจะต้านทานได้

มีเสียงแหวดหวิวผ่านอากาศขึ้นไปยังกิ่งไม้ และนกสีสวยที่ฉันชอบก็หล่นลงมาดิ้นอยู่เบื้องหน้า

ฉันผุดลุกขึ้นยืนอย่างฉุนโกรธ เจ้าเด็กซนกับหนังสติ๊กรีบวิ่งหนีไปเสียก่อนที่จะถูกลงโทษ

ฉันประคองนกน้อยนั้นไว้ในอุ้งมือ เลือดไหลซึมออกมาตรงซอกคอ

ฉันเอายามาใส่ให้มัน และวางมันไว้ในแสงแดด]

 

“…แต่หนู…รู้สึกว่ามันเจ็บ”

“ไม่เจ็บหรอก อดทนเดี๋ยวเดียว”

ใบหน้าที่เหยเกและชุ่มเหงื่อ รางเลือนอยู่ในสายตาของฉันเหมือนกัน เหมือนถูกอัดเข้ามาด้วยกิ่งไม้แข็งๆ

แต่ยิ่งเกร็งตัว ยิ่งเหมือนจะถูกตอกลึกเข้าไป

จนกระทั่ง…จนกระทั่ง

“โอ้ย!”

กรามขบจนเป็นสันนูน และใบหน้าชะโงกเหนือใบหน้า มีทั้งชัยชนะและความสาแก่ใจปรากฏ

รวมไปถึงบางเสี้ยวแห่งความกรุณา

ใช่ ฉันควรจะเรียกมันว่าความกรุณา

ทันทีที่ใบแดงสอดเข้ามาในปาก “ขบไว้นะ” เสียงกระซิบเบาๆ พลางมือสอดเข้ายึดเส้นผมของฉันไว้

บังคับให้อยู่ในบัญชา

รสชาติของใบแดงแปร่งปร่า สาบเค็ม เหม็นเหมือนอะไรหลายๆ อย่างเคล้าปนเปื้อนมา ทว่ามันก็เป็นของวิเศษเพียงพอที่จะทำให้ฉันพยายามกลั้นลมหายใจ

มันคงจะดีถ้าคนเราไม่ต้องหายใจ…

แต่สุดท้าย ฉันก็ต้องผวาเฮือกขึ้นทั้งตัว เมื่อการกระทบกระแทกเริ่มขึ้น

[…ฉันประคองนกน้อยนั้นไว้ในอุ้งมือ เลือดไหลซึมออกมาตรงซอกคอ

ฉันเอายามาใส่ให้มัน และวางมันไว้ในแสงแดด

หัวสีแดงของมันผงกกระตุกอยู่ไปมา และแล้วอีกชั่วครู่ต่อมาปีกสีดำของมันก็หุบลู่ และทรวงอกสีขาวหม่นของมันก็นิ่งสนิท

เกสรชมพู่ร่วงโปรยลงมา และปลาก็หายไป…]

 

ฉันกำลังนอนกอดก่ายอยู่กับผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่ง นั่นคือเมื่อชีพจรเต้นตุบๆ บนแอ่งคอ และเหนียวในคอไปหมด เพราะเปล่งร้องก่อนหน้าแทบหมดเสียง

เมื่อไม่มีตัวหนังสือใดกระโดดโลดเต้นร่วมไปกับฉัน

ในท้องทุ่งแห่งความฝันเหล่านั้น

ที่ๆ มีแม่คอยยืนยิ้มมองดูตัวฉัน

ไม่มีดอกไม้เล็กๆ สีเหลือง สีส้ม สีแดง ดอกบานชื่น ดอกเยอบีร่า ดอกตะหล้อมที่น่ารักน่าเอ็นดู

ไม่มีเลย ทั้งแมลงปอและผีเสื้อที่โบยบินอยู่เหนือยอดหญ้า หรือคันนา

ไม่มีอะไรทั้งสิ้น

มีแต่เปลวแดดอ้าวๆ ที่อาบช่องหน้าต่างเข้ามา และกลิ่นคาวฉุนระรินเข้าจมูกไม่ขาดสาย

“ให้เฮียหลับสักพักนะ” ใบหน้าพลิกมาจูบฉันหนหนึ่ง

แต่ฉันยังคงคิดถึงโลกในหนังสือเหล่านั้น

โลกที่ดีสุดแล้วสำหรับฉัน

โลกแห่งความฝันที่ไม่ต้องมีใบแดงก็ได้

[แม่ชี้ให้ฉันดูนกปีกดำอกขาวที่ฉันชอบ

มันเกาะอยู่บนกิ่งส้มโออีกสองตัว

“มันตายไปตัวหนึ่งแล้วก็จริง แต่มันก็มีตัวใหม่มาทดแทน” แม่พูดด้วยเสียงที่ผ่านโลก

แม่ชี้ให้ฉันดูดอกกุหลาบในกระถาง…]

 

ฉันอยากจะหลับไปกับเขาเหมือนกัน ฉันก็อยากจะหลับไปเสีย

แต่ก็รู้ว่า ชั่วเวลา เมื่อเขาหายจากความอ่อนเพลีย

ไม่นานนัก เขาก็จะทำรักกับเด็กอย่างฉันอีก

———————————————————————–
(1) บทกวีของ ราช รังรอง จากเล่ม ขอบกรุง