แมลงวันในไร่ส้ม/ข่าวร้อนเขย่าการเมือง จาก ‘เจ้าสัวล่าเสือดำ’ ถึงหมอธีถล่ม ‘นาฬิกาหรู’

แมลงวันในไร่ส้ม

ข่าวร้อนเขย่าการเมือง

จาก ‘เจ้าสัวล่าเสือดำ’

ถึงหมอธีถล่ม ‘นาฬิกาหรู’

ข่าวเจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต กับคณะ พร้อมปืนผาหน้าไม้ กระสุนปืน ซากเสือดำ เก้ง ไก่ฟ้าหลังเทา ถูกจับกลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กลายเป็นข่าวที่มากลบกรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม อย่างถูกจังหวะจะโคน
เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เอง กำลังมีปัญหาจากการประกาศเลื่อนโรดแม็ปการเลือกตั้งจากพฤศจิกายน 2561 ที่ประกาศไว้เดิม ออกไปเป็นเดือนกุมภาพันธ์ 2562
จนทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของกลุ่ม “คนอยากเลือกตั้ง” รวมตัวที่แยกปทุมวัน ก่อนขยายไปที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แวดวงโซเชียลมีเดียมือดีแพร่ภาพ พล.อ.ประวิตรกล่าวคำขอบใจ “เปรมชัย” ที่มาช่วยกระจายความยุ่งยาก
และเนื่องจากเจ้าสัวเปรมชัยเป็นซีอีโอบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่า กฎหมายไทยเจอ “ของแข็ง” อีกแล้ว
เริ่มมีเสียงกล่าวว่า ด้วยความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของเจ้าสัว กฎหมายจะดำเนินการกับนายเปรมชัยได้มากน้อยแค่ไหน
รายการนี้ รัฐบาลมีท่าทีให้จัดหนัก หลังจากที่ตอนแรกมีการออกตัวทำนองว่า อย่าเพิ่งปรักปรำ ให้รอดูการสอบสวนและพยานหลักฐานก่อน

ถึงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ นายเปรมชัยถูกตั้งข้อหาแล้ว 10 ข้อหา
ปัญหาว่านายเปรมชัยและคณะนำปืนเข้าไปยิงสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ซึ่งต้องมีการขออนุญาตได้อย่างไร ทำให้ นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขต ต้องตอบคำถามด้วยความอึดอัดใจ
ก่อนที่ น.ส.กาญจนา นิตยะ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยว่า นายนพดล พฤษะวัน อดีตผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (สงขลา) เป็นผู้โทรศัพท์มาประสาน
นายนพดลมีความใกล้ชิดกับกลุ่มบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ตั้งแต่ยังรับราชการ และไปเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมบริษัทดังกล่าวหลังเกษียณอายุราชการ
และยังมีความใกล้ชิดกับผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง และอดีตผู้บริหารระดับสูงของ ทส.
กลายเป็นที่มาของการเข้าไปในทุ่งใหญ่
กระแสสังคมสนับสนุนการดำเนินการของนายวิเชียร และเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่
ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่กระทรวงทรัพยากรฯ และตำรวจดำเนินไปอย่างคึกคัก
มีการค้นบ้าน นำปืน 43 กระบอก และงาช้าง 2 คู่ ในบ้านเจ้าสัวไปตรวจสอบ
ขยายผลถึงรีสอร์ต “รังเย็น” ที่ภูเรือ จ.เลย ว่ามีการบุกรุกป่าหรือไม่
แต่ที่หนักไม่แพ้การดำเนินงานทางกฎหมาย ได้แก่ การตกเป็นจำเลยสังคมอย่างหมดหนทางต่อสู้
ประกอบกับเคยมีเหตุการณ์พรานบรรดาศักดิ์ ใช้อาวุธ ทรัพย์สินราชการ มาล่ากระทิงและสัตว์อื่นที่ป่าแห่งนี้อย่างครึกโครมเมื่อปี 2516
ยิ่งทำให้การล่าเสือดำที่ทุ่งใหญ่ เป็นเรื่องเขย่าความรู้สึกของสังคม
หนึ่งในความเห็นหลากหลายที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเจ้าสัว อาทิ กรณี นายระดับ กาญจนวณิชย์ บุตรชาย ดร.รชฎ กาญจนะวณิชย์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก
ระบุบางตอนว่า เรียนพี่เปรมชัย ที่เคารพ เมื่อคืนผมนอนไม่หลับทั้งคืน…คิดถึงคุณหมอชัยยุทธ-คุณพ่อของพี่ คิดถึง ดร.รชฎ-คุณพ่อของผม ท่านทั้งสองเป็นคนเก่ง และเป็นคนดี ทำประโยชน์อย่างมากมายให้กับประเทศไทยของเรา และไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย
เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะออกมาในรูปไหน พี่เปรมชัยจำไว้อย่างนะครับว่า ความจริงคือความจริง พี่รู้อยู่แก่ใจและในอกของพี่
ถ้าพี่พูดความจริงในวันนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตของพี่ต่อจากนี้ไป เราต้องกล้าจะเผชิญกับมัน
แต่ที่ผมรู้แน่ๆ คือ พี่จะได้แสดงความเป็นลูกผู้ชาย และพี่จะสามารถมองตัวเองในกระจกโดยมีจิตใจที่สงบจนกว่าชีวิตพี่จะหาไม่
ฯลฯ ผมตระหนักดีว่า ขณะนี้พี่ต้องมีความทุกข์ใจอย่างมาก ผมไม่ต้องการเห็นพี่เป็นแบบนี้ พี่เชื่อผมเถอะครับ คนเราเปลี่ยนแปลงได้ ไม่มีช่วงใดของชีวิตที่เรียกว่าสายเกินไป

ข่าวเจ้าสัวที่ทุ่งใหญ่กลบข่าวการเมืองอื่นๆ อยู่พักใหญ่ ก่อนจะขัดจังหวะด้วยภาพของนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปรากฏตัวที่ปักกิ่ง ประเทศจีน ตรงกับเทศกาลตรุษจีนพอดี
เป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ และทำให้เกิดกระแสทวงถามว่า ทำไมอดีตนายกฯ ทั้งสองคนยังไปไหนมาไหนได้
ทั้งที่ทางราชการไทยขอความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆ และองค์กรระหว่างประเทศว่า เป็นจำเลยหลบหนีในคดีสำคัญ
และอีกข่าวที่ทำให้ ครม. สั่นสะเทือน ได้แก่ข่าวจากบีบีซี เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์
ลงข่าวและคลิปเสียง นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้กล่าวกับนักเรียนไทย และนักธุรกิจไทยที่มาร่วมงานเลี้ยงรับรองที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงลอนดอน เมื่อวันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์
ระบุตอนหนึ่งว่า ให้ตระหนักว่าเมื่อจบการศึกษากลับไปทำงานที่ประเทศไทยแล้ว การบังคับใช้กฎหมายของไทย และสำนึกของนักการเมืองและผู้บริหารประเทศยังต่างจากของอังกฤษ
การยึดหลักนิติธรรม หรือ rule of law ยังไม่เกิดขึ้นจริง พร้อมกับยกตัวอย่างสมาชิกสภาอังกฤษลาออกที่เข้าประชุมสาย
“แต่เมืองไทย มีนาฬิกาใส่ 25 เรือน ยังไม่เป็นไร” รมว.ศธ. กล่าวติดตลก
และกล่าวกับบีบีซีไทยว่า “เรื่องนาฬิกา ถ้าผมถูก exposed (เปิดโปง) เรือนแรก ผมก็ออกแล้ว อันนี้ถามผมนะ ส่วนใครจะว่าอะไร ให้ไปถามคนนั้น ของอย่างนี้ คนก็ไม่กล้าพูด กลัวอะไร ทำไม พูดแล้วมันจะมาไล่ผมออกหรือ”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่กลัวทำให้เพื่อนร่วมคณะรัฐมนตรีเสียหน้าหรือ นพ.ธีระเกียรติกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวนี่ นี่มันความเห็นของผม ไม่ใช่ความเห็น ครม. อย่างนี้แปลว่าถ้าผมอยู่ที่ไหน ผมต้องคิดตามเขาหมดเหรอ ลูกผมยังคิดไม่เหมือนผมเลย… การคิดเหมือนกันคือหลัก ‘เผ่ากู’ ซึ่งโตกว่า ‘หลักกู’ นิดเดียว”
ผลจากข่าวดังกล่าว ทำให้ นพ.ธีระเกียรติ ซึ่งเดินทางกลับไทยในคืนวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ขอลาประชุม ครม. ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์
ขณะที่ผู้สนใจข่าวสารบ้านเมืองจับตาว่า จะเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นใน ครม. แค่ไหน และอย่างไร