ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | วิกฤติศตวรรษที่ 21 |
เผยแพร่ |
โลกหลังอเมริกา : การเคลื่อนย้ายอำนาจโลก (5)
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาติของทรัมป์ : ความระส่ำระสายในความมั่นคง
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาติของทรัมป์ สามารถปรุงขึ้นมาจนสำเร็จในปีแรกของการบริหาร แสดงถึงความคล่องตัวของคณะทำงานผู้ร่างแผนนี้ แต่ก็เกิดขึ้นในท่ามกลางความระส่ำระสายในเกือบทุกมิติ ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาติของทรัมป์ได้รับความสนใจวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง แต่
(1) ลงท้ายแล้วเป็นเหมือนกับประธานาธิบดีคนอื่นๆ ก่อนหน้านั้นอย่างน้อยตั้งแต่สมัยเรแกนเป็นต้นมา บนเสาหลักสี่ข้อคือการปกป้องประชาชนและประเทศอเมริกา ส่งเสริมความไพบูลย์ สันติภาพโดยผ่านกำลังเข้มแข็ง การรุกคืบค่านิยมและผลประโยชน์ของอเมริกา
(2) เคลือบคำขวัญอเมริกันก่อนชาติอื่น ด้วยคำว่า “สัจนิยมเชิงหลักการ” นั่นคือนโยบายต่างประเทศ “อเมริกันก่อนชาติอื่น” เป็นการแสดงอิทธิพลของสหรัฐในด้านบวก ในการสร้างเงื่อนไขเพื่อสันติภาพและความไพบูลย์ และเพื่อการพัฒนาสังคมที่ประสบความสำเร็จ ลดความแข็งกร้าวต่อการพูดถึงผู้อพยพและอุดมการณ์ของกลุ่มก่อการร้ายลง
(3) เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ค่อนข้างมองด้านลบ นั่นคือเน้นภาวะที่สหรัฐถูกรุมเร้าจากการแข่งขันและการเอาเปรียบรอบด้าน ทั้งจากศัตรูและหุ้นส่วน เช่น จีนเอาเปรียบทางการค้า ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น กล่าวได้ว่า ตกอยู่ในความหวาดกลัว ได้แก่ ความกลัวผู้อพยพ ความกลัวอิสลาม ความกลัวรัสเซียและกำลังปรุงแต่งความกลัวจีนอยู่ แม้จะมีข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์บ้างก็มีข้อจำกัด
(4) ข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์มีอย่างจำกัด ในทางสร้างสรรค์สหรัฐต้องสร้าง “ฐานนวัตกรรมทางความมั่นคงแห่งชาติ” ขึ้น เป็นเครือข่ายทางความรู้ ความสามารถของประชาชนทั้งหลาย ช่วยกันสร้างนวัตกรรม เปลี่ยนการค้นพบให้เป็นผลผลิตเชิงพาณิชย์ที่ประสบความสำเร็จ เพื่อป้องกันและส่งเสริม “วิถีชีวิตแบบอเมริกัน” ซึ่งในทางปฏิบัติมันไม่สามารถทำภายในชาติหนึ่งได้ ต้องถือตัวแบบ “อุตสาหกรรม 4.0” หรือ “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่” ของเยอรมนี
(5) มีสิ่งที่ขาดไปหรือกล่าวไม่เต็มที่ ได้แก่ การเน้นเรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตย การค้าเสรี ปัญหาสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ภาวะโลกร้อน ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งที่สหรัฐใช้เปิดเกมรุกทางเศรษฐกิจ-การเมือง
(6) ปัญหาว่าจะทำให้บรรลุได้อย่างไรในบรรยากาศที่เกิดความแตกแยกภายในชาติสหรัฐ เช่น ความขัดแย้งระหว่างลัทธิปลีกตัวกับลัทธิการค้าข้ามชาติ ความไม่พอใจของประชาชนอเมริกันพุ่งสูง เนื่องจากช่องว่างที่เพิ่มขึ้น และรายได้ที่ขัดสน ทรัมป์เองก็เดินยุทธศาสตร์ “ข่มมิตร สร้างศัตรู” อย่างคงเส้นคงวา ด้วยการทวีตหรือการปราศรัย การพูดจาที่พลิกไปมา
พฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไม่ได้และสุ่มเสี่ยง พันธมิตรสำคัญได้แก่ยุโรปตะวันตก ก็เริ่มไม่เกรงใจ แสดงออกหลายครั้ง
เช่น กรณีการลงคะแนนเสียงวาระเยรูซาเลมที่ที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ นายมาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ตั้งโครงการ “ทำให้ดาวเคราะห์โลกของเรายิ่งใหญ่อีกครั้ง” เป็นการเสียดสีทรัมป์ที่ถอนตัวจากข้อตกลงภูมิอากาศที่ปารีส
และชอบพูดว่า “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ในเดือนธันวาคม 2017 ได้ประกาศผู้ได้รับทุนมูลค่าหลายล้านยูโร ซึ่งเป็นบรรดานักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจากสหรัฐและชาติอื่นให้มาทำงานวิจัยในฝรั่งเศส
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พันธมิตรตะวันตกของสหรัฐเริ่มเตรียมพร้อมในการก้าวไปสู่ “โลกหลังอเมริกา”
เบื้องลึกของยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาติของทรัมป์เป็นอย่างไร
มีนักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งเห็นว่า ยุทธศาสตร์ความมั่นคงชาติสหรัฐล่าสุดนี้ เบื้องลึกคือการทำสงครามการเงินระดับโลก การเดินนโยบายกึ่งป้องกันการค้า ผสมกับการใช้แสนยานุภาพและการปฏิบัติการลับ เพื่อรักษาความเป็นใหญ่ทางเศรษฐกิจของสหรัฐไว้ เป็นสิ่งที่ควรสนใจติดตาม ยิ่งกว่าประเด็นความขัดแย้งอื่น เช่น การสร้างกำแพงที่ชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก การรับรองเยรูซาเลมเป็นนครหลวง การขับไล่ผู้อพยพจากประเทศ “รูขี้” ออกไป
การเข้าควบคุมการเงินโลก การแซงก์ซั่นทางการค้าและทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่สหรัฐได้ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองและเข้มข้นขึ้นโดยลำดับ
ซึ่งมีทั้งได้ผลและไม่ได้ผล
การไม่ได้ผลบีบให้สหรัฐจำต้องวางแผนสงครามการเงินโลกให้ละเอียดซับซ้อนขึ้น ลำดับการทำสงครามการเงินโลกของสหรัฐ สรุปได้ดังนี้
1)การทำระบบเบรตันวูดส์ (1945) ทำให้ยุโรปตกอยู่ในความควบคุม ไม่สามารถเดินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของตนอย่างเป็นอิสระได้
การใช้อิทธิพลทางการเงินผสมกับแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐนี้ กวาเม เอ็นครูมา เรียกว่าเป็น “จักรวรรดินิยมแผนใหม่” เสนอปี 1965 ก่อนถูกคณะทหารที่หนุนหลังโดยซีไอเอรัฐประหารในปี 1966
มีนักประวัติศาสตร์สหรัฐผู้สนใจทฤษฎีอารยธรรมมนุษย์ คือ แคร์โรล ควิกลีย์ (Carroll Quigley เกิด 1910) ศึกษาทุนการเงินในสหรัฐเป็นเวลายี่สิบปี เขียนหนังสือชื่อ “โศกนาฏกรรมและความหวัง” (Tragedy and Hope : A History of the World in Our Time เผยแพร่ครั้งแรกปี 1964) ชี้ให้เห็นการสร้างรัฐบาลเงาโดยกลุ่มทุนการเงิน และระบุว่าอำนาจของทุนการเงินมีเป้าหมายกว้างไกล ได้แก่ การสร้างระบบโลกที่ควบคุมโดยทุนการเงินที่อยู่ในมือของเอกชน เพื่อควบคุมระบบการเมืองของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจของโลกโดยรวม
ระบบนี้จะถูกควบคุมคล้ายสมัยฟิวดัล (คือไม่เป็นประชาธิปไตย ผู้ตัดสินใจไม่ได้มาจากหรือต้องตอบสนองต่อการเลือกตั้งทั่วไป) เป็นการควบคุมโดยธนาคารกลางในประเทศทั่วโลกที่ปฏิบัติร่วมกัน จากข้อตกลงลับที่ได้มาจากการประชุมส่วนตัวระหว่างกันอยู่เนืองๆ การครอบงำของทุนการเงินนี้ขึ้นสู่ระดับสูงสุดเมื่อมีการจัดตั้งธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS ก่อตั้งปี 1930)
2)การสร้างระบบดอลลาร์น้ำมัน (1973) แทนระบบเบรตันวูดส์ เพื่อรักษาการครองความเป็นใหญ่ของดอลลาร์สหรัฐ
โดยระบบนี้สหรัฐได้ทั้งจากการพิมพ์ดอลลาร์ออกสู่ตลาด และได้จากการกู้
โดยผู้ที่ได้เปรียบดุลการค้า กลับมาซื้อพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐ หรือทรัพย์สินอื่น สามารถย้ายฐานการผลิตทางอุตสาหกรรมออกนอกประเทศ และสร้างกำไรจากการควบคุมการไหลเวียนของเงิน
ในช่วงเวลาเดียวกัน ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือเครือข่ายทางข่าวสารของสถาบันการเงินโลก ในปี 1973 เรียกว่าเครือข่ายระบบสวิฟต์ (SWIFT – Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) เป็นเครือข่ายที่ช่วยให้สถาบันการเงินทั่วโลกสามารถส่งข่าวสารเกี่ยวกับธุรกรรมทางการเงินที่มีความมั่นคง ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้ ซึ่งมีการใช้กันอย่างแพร่หลาย ในปี 2015
ปรากฏว่าสถาบันการเงินมากกว่า 11,000 แห่งในกว่า 200 ประเทศเขตแคว้น ได้แลกเปลี่ยนข่าวสารเฉลี่ยวันละกว่า 15 ล้านชิ้น
ดังนั้น ธนาคารแห่งใดที่ถูกตัดออกจากเครือข่ายนี้ก็แทบว่าจะทำธุรกรรมไม่ได้
สหรัฐและตะวันตกได้ใช้เครือข่ายสวิฟต์นี้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจกับหลายประเทศ เช่น ต่ออิหร่าน เพื่อเป้าประสงค์การเมืองต่างๆ ได้แก่ ระงับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูง เป็นต้น การแซงก์ชั่นนี้ยังดำเนินถึงปัจจุบัน
ในสหรัฐมีนักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายซ้ายคือ ไมเคิล ฮัดสัน (Michael Hudson เกิด 1939) ได้เขียนหนังสือชื่อ “อภิจักรวรรดินิยม” (Super Imperialism : The Economic Strategy of American Empire เผยแพร่ครั้งแรกปี 1972) ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐได้ใช้ความได้เปรียบทางการเงินขึ้นครองความเป็นใหญ่ในโลกอย่างไร
แต่ความได้เปรียบนี้เป็นสิ่งชั่วคราว และไม่ยั่งยืน
หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจการเงินใหญ่ปี 2008 มาได้ราวแปดปี ได้มีนักหนังสือพิมพ์นักเขียนสตรี ชื่อ รานา โฟรูฮาร์ (เกิด 1970 มีเชื้อชายตุรกี) ทำงานในนิตยสารกระแสหลักในสหรัฐและอังกฤษด้านเศรษฐกิจ เผยแพร่หนังสือในปี 2016 ชื่อ “ผู้ผลิตและผู้ได้ประโยชน์” (Makers and Takers : The Rise of Finance and the Fall of American Business) ชี้ว่า การทำให้ธนาคารและธุรกิจทั่วไปเป็นเชิงการเงิน ได้ขัดขวางการเติบโตและนวัตกรรมที่แท้จริง ทั้งยังเร่งขยายความเหลื่อมล้ำ
ในปัจจุบัน (ปี 2016) อุตสาหกรรมการเงินที่มีขนาดเพียงร้อยละ 7 ของเศรษฐกิจทั้งหมด และจ้างงานเพียงร้อยละ 4 แต่สร้างกำไรให้แก่บรรษัทถึงกว่าร้อยละ 25 ของกำไรทั้งหมด
บรรษัทใหญ่ทั้งหลายพยายามทำเลียนแบบเหมือนเป็นธนาคาร โดยแสวงหากำไรจาก “วิศวกรรมการเงิน” มากขึ้น
การปฏิบัตินี้เป็นการแยกแก่นแกนของภาคการผลิตกับมูลค่าออกจากกัน
บรรษัทอุตสาหกรรมถูกขับเคลื่อนด้วยการเงิน
บรรษัททั้งหลายทำตัวเหมือนธนาคารที่ไม่เอื้ออำนวยต่อภาคการผลิต เธอหวังว่าลูกตุ้มทางเศรษฐกิจที่แกว่งไปทางการเงินจะแกว่งกลับ
3)สหรัฐ-ซาอุดีอาระเบียร่วมกันกดราคาน้ำมันให้ต่ำในช่วงปี 1985-1986
กระทบต่อสหภาพโซเวียต
เป็นสงครามเศรษฐกิจใหญ่ที่ทำกับรัสเซียในช่วงนั้น
4)การแซงก์ชั่นจีน กรณีล้อมปราบเทียนอันเหมินปี 1989 ระงับการขายอาวุธต่อจีน ยกเลิกการติดต่อทางทหารกับจีน ตีกรอบการสนับสนุนทางการเงินต่อจีน ระงับการส่งสินค้าที่ช่วยสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ควบคุมสินค้าส่งออกไปยังจีนที่สามารถนำไปใช้ทั้งทางพลเรือนและทางทหารได้
การแซงก์ชั่นเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลง
เกือบทั้งหมดถูกยกเลิก
แต่จีนก็ยังคงเป็นเป้าการแทรกแซงของสหรัฐอยู่จนถึงทุกวันนี้
ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่จีนไม่ได้ให้ความร่วมมือกับการแทรกแซงของสหรัฐ เช่น ต่ออิหร่าน
เพราะว่าตนเองก็ยังโดนแทรกแซง
5)หลังสงครามเย็น สหรัฐใช้การแซงก์ชั่นทางการค้าและเศรษฐกิจแก่กลุ่มองค์กรและประเทศต่างๆ จำนวนมาก
การแซงก์ชั่นทางการค้าเป็นการเตือนอย่างเบาะๆ ได้แก่ การยกเลิกฐานะการเป็นประเทศที่ได้รับการอนุเคราะห์อย่างยิ่ง ซึ่งสหรัฐมอบให้แก่ประเทศทั้งหลาย และเรียกคืนเพื่อกดดันบางประเทศที่ไม่รับซื้อสินค้าจากสหรัฐ ขายอาวุธให้แก่ประเทศที่เป็นอริของสหรัฐ ละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
การแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจเป็นการใช้ยาแรง ทำให้เศรษฐกิจประเทศนั้นถูกทำให้แปลกแยกจากตลาดโลกที่สหรัฐควบคุมอยู่ ได้แก่ การเลิกการค้า ห้ามการเคลื่อนย้ายเงินหรือรับเงินกู้จากสถาบันการเงินสหรัฐ ป้องกันไม่ให้เข้าถึงสินทรัพย์ของสหรัฐ
ถัดจากการแซงก์ชั่นทางเศรษฐกิจ ก็คือการทำสงครามจริงๆ
ประธานาธิบดีคลินตันได้ชื่อว่าเป็นผู้ใช้การแซงก์ชั่นอย่างช่ำชองต่อหลายประเทศ ได้แก่ ยูโกสลาเวีย อิรัก อิหร่าน คิวบา เป็นต้น
6)การยกระดับการแซงก์ชั่นในสมัยประธานาธิบดีบุชผู้ลูก ยุทธศาสตร์แซงก์ชั่นของสหรัฐยกระดับขึ้นสู่จุดสูงสุดในสมัยของบุช โดยหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 บุชได้ใช้ข้ออ้างเรื่องการต่อสู้การก่อการร้าย ได้เข้าตรวจสอบการเคลื่อนไหวทางการเงินทั้งโลก
ใช้อำนาจทางการเงินนี้ “บิดแขน” ประเทศต่างๆ ให้เข้าร่วมทำสงครามยึดครองอิรัก
เมื่อถึงปี 2005 กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการคลังสหรัฐได้ร่วมกันวางแผนยุทธศาสตร์ทำสงครามเศรษฐกิจกับประเทศที่เป็นเป้าหมาย
7)การแซงก์ชั่นรัสเซียในปี 2014 และการกดดันต่อจีนอย่างหนักหน่วงในกรณีเกาหลีเหนือ การแซงก์ชั่นของสหรัฐโดยทั่วไปกระทำแก่ประเทศเล็ก หรือต่อบุคคล กลุ่มบุคคล
เมื่อถึงปี 2014 ได้ถึงจุดพลิกผัน เมื่อสหรัฐดำเนินการแซงก์ชั่นเศรษฐกิจแก่รัสเซียในหลายรูปแบบ หวังให้ล้มทั้งยืน
แต่รัสเซียยังรอดมาได้ แม้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทรัมป์ได้สืบทอดการสงครามพันทาง ที่ใช้สงครามเศรษฐกิจและสงครามเคลื่อนกำลังผสานกันจากประธานาธิบดีก่อนหน้านี้ กระชับการแซงก์ชั่นต่อรัสเซียขึ้นอีก
มีข่าวถึงขั้นว่าจะตัดธนาคารในรัสเซียออกจากเครือข่ายสวิฟต์ ซึ่งนายธนาคารรัสเซียประกาศกร้าวว่า ถ้าสหรัฐทำเช่นนั้นจะเกิดการตอบโต้จากรัสเซียรุนแรง ถึงขั้นเกิดความหายนะในทางภูมิรัฐศาสตร์โลก
สำหรับต่อจีน ใช้การ “บิดแขน” อย่างหนัก แต่จีนก็พร้อมที่จะตอบโต้ เป็นสงครามที่ดูไม่จืด แต่ก็น่ากลัว เพราะสามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ (ดูบทความของ Alastair Crook ชื่อ Behind Korea, Iran & Russia Tensions : The Lurking Financial War ใน strategic-culture.org 31.12.2017)
ฉบับต่อไปจะกล่าวถึงการแยกตัวจากดอลลาร์สหรัฐของแกนจีน-รัสเซีย-อิหร่าน