เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ เล่า อดีตแห่งความทรงจำ ไปเวียดนาม ระลึกถึง “คิม ฟุก”

การเดินทางไปดูงานต่างประเทศของหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการบริหารเมืองผู้เดินทางต้องจ่ายค่าเดินทางส่วนหนึ่ง ก่อนที่รัฐบาลจะประกาศให้ต้องรับผิดชอบเสียอีก

กำหนดการศึกษาดูงานของหลักสูตรนี้ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งเป็นการรวมผู้เข้ารับการอบรม 4 กลุ่ม คือ กลุ่มการจราจรและขนส่งมวลชน กลุ่มการจัดการศึกษา การพัฒนาสังคมและความปลอดภัยของประชาชนในเขตเมือง เดินทางไปดูงานที่สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

กลุ่มหนึ่ง กลุ่มจัดการสิ่งแวดล้อม และกลุ่มบริหารจัดการน้ำ อีกกลุ่มหนึ่ง เดินทางไปดูงานที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ทั้งสองคณะออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ออกเดินทางเวลาแตกต่างกันครึ่งชั่วโมง คือกลุ่มไปเวียดนามขึ้นเครื่องเวลา 06.30 น. ลงที่จังหวัดนครพนม กลุ่มไปลาวขึ้นเครื่องเวลา 07.00 น. ลงที่จังหวัดเลย

กลุ่มเดินทางไปเวียดนาม ออกจากสนามบินดอนเมืองไปลงที่นครพนม แล้วเดินทางต่อไปยังมุกดาหาร รับประทานอาหารเที่ยงจากการต้อนรับของนายกเทศบาลนครมุกดาหาร

จากนั้นศึกษาดูงานและฟังบรรยายสรุปเรื่องของเทศบาลนครมุกดาหาร เกี่ยวกับตลาดอินโดจีน บนเรือของเทศบาล ขึ้นจากเรือมีเวลาให้พวกเราเดินบริเวณตลาดอินโดจีนยามเย็น ก่อนเข้าโรงแรมริเวอร์ซิตี้ แล้วไปรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของนายกเทศมนตรีและ ส.ส. สนุกสนานตามอัตภาพ

ก่อนกลับมาพัก เพื่อออกเดินทางวันรุ่งขึ้นไปกับรถยนต์ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ผ่านเมืองสะหวันเขต ซึ่งต้องเตรียมพาสปอร์ตเพื่อตรวจลงตราวีซ่าเข้าประเทศ

การเดินทางผ่านเข้าลาวจากสะพานมิตรภาพไทย – ลาว ที่มุกดาหารเข้าไปยังสะหวันเขต ผู้ที่เดินทางไปมุกดาหารมักถือโอกาสข้ามไปเที่ยวเมืองนี้ ด้วยไม่ไกล แต่กลุ่มเราที่ไปเวียดนาม ต้องผ่านเข้าถนนสายที่ 9 เป็นถนนสายยุทธศาสตร์

ใช้เวลาเดินทางยาวนานพอสมควร คือทั้งวัน เป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเข้าสู่เมืองเว้ผ่านสถานที่สำคัญของลาวและเวียดนาม ตลอดการเดินทางจากลาวเข้าเวียดนาม มีมัคคุเทศก์ลาวอธิบายถึงเส้นทางนี้ละเอียดลออพอใช้ รวมทั้งเรื่องสนุกโปกฮาตามประสาไกด์หนุ่ม

ผ่านปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งมีแห่งเดียวตลอดเส้นทาง ไกด์หนุ่มบอกในลาวเรียกชื่อว่า “ปั๊มตราหอมหัวใหญ่” ใครว่าเหมือนไหม?

แวะพักปลดทุกข์เป็นระยะ ด้วยมีผู้สูงวัยไปด้วยหลายคน

ถึงเวลาอาหารกลางวันกลางทาง เป็นร้านสำหรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางระหว่างสองประเทศ

ตรงรอยต่อระหว่างประเทศ ข้ามด่านลาวบาวเข้าสู่เมืองเว้ เปลี่ยนมัคคุเทศก์จากหนุ่มลาวเป็นสาวเวียดนาม 2 คน ที่เป็นไกด์หลักไม่แต่เพียงคุยสนุก ยังใช้ภาษาไทยได้ดีมาก รวมถึงคำภาษาเวียดนามที่มีเสียงพ้องกับภาษาไทย แปลความหมายเป็นไทยแล้ว “ฮา” ทั้งหญิงทั้งชาย

ได้ความว่าเคยอยู่ในเมืองไทยและเรียนภาษาไทย

ก่อนจะเข้าเมืองเว้ ถนนสายนี้ต้องผ่าน “อุโมงค์” ของเวียดกง รถเลี้ยวเข้าไปและเดินพอสัณฐานประมาณ เป็นอนุสรณ์สถานสำคัญแห่งหนึ่งของชาวเวียดนามเหนือในสงครามรบกับสหรัฐอเมริกาที่ทั้งจดจำและเล่าขานกันอีกนาน โดยเฉพาะกับชาวต่างประเทศ กับชาวไทย และทหารสหรัฐอเมริกา

ระหว่างเดินไปอุโมงค์มีฝนตกพรำๆ ทำให้ไม่ร้อน กระนั้นเหงื่อยั้งชุ่ม ยิ่งตอนเข้าออกอุโมงค์ ระยะทางไม่มากประมาณกิโลเมตรเศษ แต่ต้องเดินก้มๆ เงยๆ เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา กว่าจะออกพ้นอุโมงค์ได้ หายใจแทบไม่ทัน แต่มีผ้าเย็นบริการตรงปากอุโมงค์ทางออก

กว่าจะถึงเมืองเว้ได้เวลาอาหารค่ำพอดี ผู้จัดพาไปรับประทานอาหารที่ร้านรับรองแขกชาวต่างประเทศโดยเฉพาะฝรั่งมีเครื่องแต่งตัวแบบชาวเวียดนามให้

รุ่งขึ้นเข้าเยี่ยมชมพระราชวังเก่า ฟังการบรรยายรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เมืองเว้เป็นเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจ ผู้ที่ไปเวียดนามบนเส้นทางนี้ แม้จะใช้เวลายาวนานกับการเดินทางโดยรถยนต์ แต่ต้องนับว่าคุ้มกับเวลาที่เสียไปจะพบเห็นเส้นทางดั้งเดิมระหว่างเมืองลาวที่ต่อเนื่องถึงเมืองเว้ภูมิประทศยังไม่เปลี่ยน

เสร็จจากพระราชวังเก่า ชาวคณะมีโอกาสไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยของเมืองเว้ ที่มีการเรียนการสอนทางการแพทย์ ฟังบรรยายสรุปทางด้านการศึกษาและการพัฒนาสังคม ซักถามกันพอสมควรแก่เวลา ได้เวลารับประทานอาหารกลางวัน แล้วเดินทางสู่เมืองดานังทางรถยนต์ ศึกษาดูงานด้านการจราจรและขนส่ง คือท่าเรือดานังจากการท่าเรือ ที่ดานังมีท่าเรือน้ำลึกหลายท่าน่าสนใจ มีเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่จอดเทียบท่า ณ ท่าเรือแห่งนี้ มีเวลาถ่ายภาพพอสมควร ออกจากท่าเรือไปรับประทานอาหารค่ำ

ก่อนเข้าพักที่โรงแรม Serene

รุ่งขึ้นเดินทางโดยเครื่องบินเข้าสู่เมืองโฮจิมินห์ ชื่อเดิมคือเมืองไซ่ง่อน เนื่องจากเป็นเมืองหลวงมาก่อน ทั้งความเจริญด้านตึกรามบ้านช่องและสถานที่สำคัญจึงมีมากกว่าเมืองอื่น

ถึงสนามบินเมืองโฮจิมินห์ เดินทางโดยรถยนต์ไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารไทย

เสร็จแล้วไปดูงานสถานที่สำคัญของเมืองไซ่ง่อนในอดีต

โฮจิมินห์เป็นเมืองที่มีฝรั่งชาวอเมริกันมาเที่ยวมากที่สุด โดยเฉพาะในพิพิธภัณฑ์สงคราม มีภาพและเรื่องราวที่คนไทยรุ่นราวคราวเดียวกับชาวคณะหลายคนยังจำทั้งเหตุการณ์และเรื่องราวในขณะนั้นได้ บางคนที่เป็นนายทหารแม้ไม่ได้เข้ารบด้วย ภาพและเหตุชุลมุนวันที่เวียดกง และทหารเวียดนามเหนือบุกเข้าไซ่ง่อน ประธานาธิบดีและมาดามหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์แทบไม่ทันได้ดี

ภาพเด็กหญิงเปลือยกายวิ่งไปบนถนนมีปรากฏอยู่ด้วย เป็นภาพที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ และเจ้าของภาพยังมีชีวิตอยู่ ครั้งหนึ่งเมื่อมีการเปิดเผยเรื่องของเธอ ทั้งการให้สัมภาษณ์และการกล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอบอกว่าให้อภัยเหตุที่เกิดทั้งหมดแล้ว ไม่ติดใจ ทราบมาว่ามีทหารอเมริกันที่อยู่ในเหตุการณ์ไปฟังเธอพูดและแสดงตัว ขอโทษและเสียใจในเหตุการณ์ครั้งนั้น

อีกสถานที่หนึ่งทั้งชาวเวียดนามและชาวต่างประเทศไปเที่ยวมาก คืออาคารไปรษณีย์ เป็นเสมือนหนึ่งพิพิธภัณฑ์อีกแห่งหนึ่งของเมืองนี้ และทำเนียบประธานาธิบดี

อาหารมื้อเย็นก่อนกลับกินเฝอในร้านที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนหนึ่งเคยไปกินเมื่อครั้งเยือนเมืองนี้

ประเทศเวียดนามนี้ ผมยังไม่เคยไป เมืองที่อยากไปมากที่สุดคือฮานอย แต่เอาเถอะ ไปเมืองไซ่ง่อน ดานัง และเว้ ก่อน อย่างน้อยได้ไปเห็นสาวเวียดนามแต่งชุดอ๋าวใหญ่สักครั้งก็ยังดี วันนี้ยังไม่กล่าวคำว่า ซินจ่าว ด้วยยังติดใจภาพของเด็กหญิงคนนั้น-คิม ฟุค ประวัติและเรื่องของเธอน่าศึกษาและเรียนรู้

______________________________

สามารถอ่าน เรื่องราว ของ “คิม ฟุก” ได้จากหนังสือ คิม ฟุก บาดแผลแห่งสงคราม แปลโดย เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง คอลัมนิสต์ มติชนสุดสัปดาห์
โดย สำนักพิมพ์ มติชน คลิกที่นี่