มนัส สัตยารักษ์ : กฎหมายปราบโกง… อิอิ

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2561 ก่อน 20.00 น. เล็กน้อย ในช่วงข่าวของทีวีหลายช่อง มีผู้ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้ากรณีแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม

ผมอาจจะเปิดทีวีช้าไปและไม่ได้เปลี่ยนช่อง จึงไม่ทราบว่าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นใคร และไม่ทราบว่าเขาให้ข่าวเกี่ยวกับนาฬิการาคาหลายล้านด้วยหรือเปล่า อาจจะพูดถึงไปก่อนแล้วหรือไม่มีในส่วนนี้ผมไม่ขอยืนยันเพราะไม่ได้ตามไปย้อนดูแต่ต้นในช่องอื่น

ผมสับสนว่ารายการแถลงข่าวนี้เป็นการแสดงหรือเป็นการสัมภาษณ์จริง

เพราะผู้ให้สัมภาษณ์มีอาการและท่าทางรวมทั้งการทำหน้าทำตาเหมือน “ตลกหน้าไม่ตาย” ในสไตล์ของคณะ “3 ช่า” (หม่ำ เท่ง โหน่ง) ซึ่งมักจะหัวเราะขำตัวเองเป็นการนำร่องให้ผู้ชมหัวเราะตาม มากกว่าจะตลกแบบหน้าตายอย่างที่เราเคยเห็น

ผมอาจจะอธิบายไม่เนียนพอที่ผู้อ่านจะเข้าใจคำว่า “ตลกหน้าไม่ตาย” นี่เป็นอย่างไร

สำหรับผู้ที่ไม่เคยดู จึงขอแสดงด้วยบทเจรจาหรือ dialogue แบบเดียวกับบทละครหรือบทภาพยนตร์นะครับ…

“แหวนเพชรของท่านรองนายกฯ ประวิตรราคาไม่ถึง 2 แสน… อิอิ”

“หมดคำถามแล้วนะครับ อิอิ” ผู้แถลงข่าวทำท่าผละออกจากไมโครโฟนด้วยใบหน้าอมยิ้ม แต่เมื่อมีเสียงประท้วงจึงกลับมาพูดพลางยิ้มพลางที่ไมโครโฟนอีกครั้งหรือสองครั้ง

ผมไม่สามารถชี้ชัดฟันธงลงไปได้ว่าท่านยิ้มขบขันใคร ระหว่างผู้สื่อข่าว หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือตัวเองที่มีหน้าที่ต้องแถลงข่าว

หรือว่าท่านกำลังขบขันกับ “กฎหมายปราบโกง” ก็ไม่ทราบ? (ฮา)

หลังจากนั้นจึงทราบว่า ผู้ที่แถลงข่าวหรือให้สัมภาษณ์คือ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง หรือ ป.ป.ช.

ต้องขออภัยท่านเลขาธิการไว้ ณ ที่นี้ที่ผมไปเห็นท่านเป็นตลก 3 ช่า ผมขอออกตัวว่าเพิ่งเกิดอารมณ์ขุ่นมัวจากการขับรถเกือบเฉี่ยวชนกับรถ จยย. ที่ขับสวนทางมาทางขวาของถนน… เขาหักหลบฝาปิดท่อโดยไม่แยแสแม้แต่น้อยที่คนขับรถยนต์ต้องตกใจและหักหลบอุบัติเหตุไปอย่างเฉียดฉิว ดีไม่ดีเขาอาจประณามผมอยู่ในใจว่า “ไม่มีน้ำใจ”

ความจริงไม่เพียงแต่ผมเท่านั้นที่ต้องประจญกับเหตุการณ์ชวนหงุดหงิดเยี่ยงนี้เป็นประจำวัน ผมเชื่อว่าคนใช้ถนนต่างก็เจอะเจอกันเกือบทุกคนมาแล้ว จนรู้สึกราวกับว่าถนนเป็นสถานที่ส่วนตัว ไม่ใช่ที่สาธารณะ ไม่จำเป็นต้องมีและใช้กฎหมายและกฎจราจร

ปีที่ผ่านมา ((2560) ไทยติดอันดับ 1 ประเทศที่รถติดที่สุดในโลก (จนหมดทางแก้ไข) และในการสำรวจอย่างเฉพาะเจาะจงในแต่ละเมือง กรุงเทพฯ ติดอันดับ 12 ของโลก อันดับหนึ่งคือ นครลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

เราจะเห็นว่าแค่ขี่รถ จยย. ทางขวาของถนนระยะทางแค่ 20-30 เมตรเป็นเรื่องเล็ก แต่เมื่อเจ้าหน้าที่จับกุมหรือมีเหตุไม่พึงประสงค์เกิดขี้น ก็จะมีข้อหามากมายตามมาเป็นพรวน

เช่น ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่มีใบขับขี่ ดัดแปลงสภาพรถ รถไม่มีป้ายทะเบียน ฯลฯ

และถ้าเกิดอุบัติเหตุมีคู่กรณีก็อาจจะบานปลายไปทั้งข้อหาคดีอาญาและคดีแพ่ง เช่น วิวาท ทำร้ายร่างกาย พยายามฆ่า พกพาอาวุธ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน และอาจจะลามไปถึงตรวจพบปัสสาวะสีม่วง เป็นคดียาเสพติดอีกต่างหาก

ไม่เพียงแต่ความผิดด้านจราจรเท่านั้น อาชญากรรมสาขาอื่น ไม่ว่าจะลัก วิ่ง ชิง ปล้น ต้มตุ๋น หลอกลวง ทำลายทรัพยากร ก่อการร้าย ฯลฯ และ ฯลฯ ไทยเราก็ไม่น้อยหน้าชาติใด

โดยเฉพาะทุจริตคอร์รัปชั่น เราก็ติดอันดับโลกด้วย ในขณะที่ “ความโปร่งใส” เรากำลังเลื่อนตำแหน่งไปทาง “รองบ๊วย”

ความคุ้นเคยหรือเคยชินกับการฝ่าฝืนกฎทำให้กลายเป็นไม่มีวินัย ความไม่มีวินัยเพิ่มดีกรีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็น “สันดาน” แล้วคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนคำว่าสันดานเป็นคำว่า “ใจสั่งมา” ให้ฟังดูเว้าวอนจนน่าให้อภัย

ผมไม่มีอารมณ์ขันพอที่จะหัวเราะ ผมตีความได้ในทันทีด้วยความหงุดหงิดที่ภาพอันควรจะซีเรียสของแหวนและนาฬิกาในฉากนี้ กลายเป็นเรื่องตลกอันเป็นการยืนยันว่า

“การแสดงทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเรื่องไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายปราบโกง แต่เป็นเรื่องก้าวก่ายและละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลต่างหาก”

ต่อมาผมพบข่าวในสื่อว่า ป.ป.ช. แถลง “ข่าวคืบหน้า” หัวข่าวน่าสนใจ…

“ประวิตรแจงที่มานาฬิกาหรูทุกเรือนที่เป็นข่าว อุบรายละเอียด จ่อสอบ 4 เอกชนที่เกี่ยวข้องอาทิตย์หน้า”

ตามมาด้วยข่าว พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ต้องยืดเวลาสอบสวนออกไปเพราะต้องตรวจสอบที่มาของนาฬิกาแต่ละเรือน

ความคืบหน้าทำนอง “อุบรายละเอียด” และ “ยืดเวลา” นี้ ในวิชานิเทศศาสตร์ถือว่าไร้ค่าและยั่วโทสะผู้เสพข่าวอย่างยิ่ง เอามาแถลงในการให้สัมภาษณ์ทำไมก็ไม่ทราบ

มันเป็นข่าวความคืบหน้าที่ถอยหลัง! ผมไม่สนใจ

ส่วนที่น่าสนใจอยู่ที่ “ภาษากาย” ที่แย้มยิ้มของท่านเลขาธิการ ป.ป.ช. ทำให้ผมหวนนึกถึงเรื่อง “กฎหมายเป็นเรื่องตลก” เป็นเรื่องที่ลบล้างความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า “กฎหมายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์” จนทำให้สังคมมีแต่ภาพป่วยไข้ทางอารมณ์ของผู้คน

ภาพวิวาทะ ชกต่อย ทำร้ายกันกลางถนน (หลายต่อหลายภาพ)

คลิปยาวคนขับรถยนต์จอดหยุดกลางถนน เตะถีบรถที่แล่นตามมาและรถที่พยายามแซง ทำให้การจราจรติดขัดเกือบชั่วโมง สุดท้ายชกตำรวจในเครื่องแบบที่เข้ามาระงับเหตุ แต่ถูกประชาชนที่ยืนดูอย่างสงบทนไม่ไหวรุมประชาทัณท์และจับกุมตัวไว้ได้

ภาพวัยรุ่นพร้อมมารดา ด่าและท้าทายตำรวจด้วยถ้อยคำหยาบคายจนสื่อโซเชียลประณาม

คลิปนักกล้ามขี่ จยย. ตามเข้าไปด่าและท้าทายตำรวจถึงในตู้ยาม

ภาพข่าวชาย 2 คนต่อยผู้หญิงจนหน้าตาแตกต่อหน้าตำรวจในเครื่องแบบ จากกรณีอุบัติเหตุขี่ จยย. ไปชนท้ายรถแท็กซี่

ทั้งสองคนถูกตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายได้รับบาดเจ็บ ตำรวจส่งฟ้องศาลโดยค้านการประกันตัว ศาลตลิ่งชันเห็นชอบไม่ให้ประกันตัว ผมสันนิษฐานว่าเพราะพฤติกรรมทำผิดกฎหมายต่อหน้าตำรวจซึ่งศาลถือว่าเสมือนหนึ่งเป็นตัวแทนของกฎหมาย จึงตีความว่าไม่เคารพกฎหมาย

ผมแชร์ภาพข่าวนี้ออกไปพร้อมกับฝากกราบท่านผู้พิพากษาศาลตลิ่งชันที่ท่านคำนึงถึงความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

เป็นที่สังเกตได้ว่า ทุกกรณีที่ผมยกตัวอย่างข้างต้น เป็น “เรื่องเล็ก” แค่กฎหมายจราจรที่ถูกฝ่าฝืนกันทุกวินาที แล้วบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องสูญเสีย และเป็นเรื่องคุกตะราง ในเวลาต่อมา แม้ว่าจะได้มีการขอขมาผู้เสียหายและชดใช้ค่าเสียหายแล้วก็ตาม

ขณะเดียวกัน “เรื่องใหญ่” ระดับทุจริตคอร์รัปชั่น ก็กำลังจะถูกทำให้กลายเป็น “เรื่องเล็ก” และเป็นเรื่องละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล เป็นเรื่องตลกขบขัน

ผมเชื่อว่า อาการป่วยไข้ของสังคมสืบเนื่องมาจากโรค “กฎหมายเป็นเรื่องตลก” แพร่ระบาดไปทั่วตั้งแต่คนใช้รถใช้ถนน วัยรุ่น เด็กแว้น ดาราร็อก ไปจนถึงคนระดับรัฐมนตรี ไม่เว้นกระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งรับผิดชอบกฎหมายปราบโกง!!