ฟ้า พูลวรลักษณ์ : หนังสือเรียนสำหรับเด็ก (134) : ผลประชามติ

ฟ้า พูลวรลักษณ์

 

ก่อนทำประชามติ ฉันได้ไปถามเพื่อนฝูงของฉัน ถามว่าจะไปลงเสียงไหม และจะรับหรือไม่รับ และสังเกตว่าพวกเขามีเหตุผลใด

น่าสนใจว่า คนบางคนเลือกอะไรก็แล้วแต่ ที่ตรงข้ามกับนักการเมือง เขาจะฟังก่อนว่านักการเมืองเลือกอะไร แสดงว่าเขามีความชิงชังนักการเมืองอย่างลึกซึ้ง จนไม่สนใจเหตุผลอื่นใดอีก

คนที่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้ ส่วนใหญ่เป็นคนชอบตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรอะไรไม่ควร ความรู้สึกนี้น่าตื่นตะลึง พวกเขาไร้ความอ่อนน้อม ไร้ความอ่อนโยน

พวกเขามี opinions และยึดมั่นใน opinions นั้น และเป็นไปแบบไม่รู้ตัว

พวกเขามองไม่เห็นใบหน้าที่เป็นเผด็จการของตัวเอง ไม่รู้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

๑ ฉันเป็นคนมีอุดมคติ

๒ ฉันเป็นคนยอมรับความจริง

สองข้อนี้คล้ายจะขัดแย้งกัน แต่ไม่

ฉันเป็นคนมีอุดมคติ เพราะฉันหวงแหนจิตวิญญาณของตนเอง ฉันรู้สึกการมีอุดมคติ ทำให้จิตวิญญาณของฉันงดงาม มีสุขภาพดี แต่การยอมรับความจริง ก็มีความสำคัญเป็นอันมาก นอกจากทำให้ฉันเป็นนักปฏิบัติ ยังทำให้ฉันไม่ตกเป็นทาสของอุดมคติ ซึ่งพร้อมจะกลายเป็นความลวง

แก่นสาระของชีวิต มีสาม

๑ ชีวิตต้องสู้

๒ ชีวิตต้องมีทางเลือก

๓ ชีวิตต้องยอมรับความจริง

สามข้อนี้สำคัญเหลือเกิน เป็นยอดเขาสูง ที่ทำให้ภูเขาอื่นกลายเป็นเตี้ย

ชีวิตที่ไม่สู้ คือตาย ฉันเห็นได้ชัดในคู่ชีวิตที่รักกันมาก และวันหนึ่งคนหนึ่งตายไป อีกคนก็หมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ไม่ได้ป่วยไข้ ไม่ช้าก็ตาย ใครคนหนึ่งเมื่อหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตื่นนอน ไม่อยากกินข้าว ไม่อยากแม้แต่จะขับถ่าย คนแบบนี้ ไม่ช้าก็ตาย

ทุกชีวิตที่อยู่ คือชีวิตที่ต้องสู้ เริ่มจากอยากตื่นนอน อยากกินข้าว อยากขับถ่าย

ชีวิตต้องมีทางเลือก ข้อนี้สำคัญยิ่ง คนต้องการเสรีภาพ และมันคือที่มาของประชาธิปไตย เพราะสังคมเผด็จการ ทำให้ทางเลือกน้อยลงทีละน้อย จนเกือบไม่มี พวกเขาจะกำจัดเสียงที่แตกต่างออกไปทีละเสียง เริ่มจากเสียงที่ดังที่สุดก่อน แล้วค่อยๆ มาสังเกตเสียงที่ค่อยกว่า ซึ่งแต่ก่อนอาจจะได้ยินไม่ชัด แต่เมื่อคนเสียงดังหายไปแล้ว เสียงที่ค่อยกว่านี้ ก็ยังรบกวน กำจัดจนกว่าจะเงียบสนิท

ความต้องการทางเลือก เป็นความต้องการพื้นฐาน วันใดที่มนุษย์พบว่าตัวเองไม่มี จึงจะรู้ตัว เสียใจเมื่อสาย

คนที่ไม่มีทางเลือก มีสี่กลุ่ม

๑ คนที่ติดคุก

๒ คนที่เป็นทาส

๓ คนที่หลอกตัวเอง

๔ คนที่อยู่ใต้เผด็จการ

ทุกข้อชัดเจนหมด ยกเว้นข้อสาม

คนที่หลอกตัวเอง คือคนที่เป็นทาสความลวง เป็นทาสภาพเสมือน เป็นทาสความบันเทิง ข้อสามนี้ละเอียดอ่อน กว้างใหญ่ มันเป็นสมัยใหม่ ในสังคมอิตเตอร์เน็ตนี้ ในโลกที่สิ่งบันเทิงมีมหาศาล มีทีวีพันช่อง มีหนังให้ดูไม่สิ้นสุด มีคลิปให้ดูไม่สิ้นสุด และดูฟรี มีข้อมูลให้ค้นไม่สิ้นสุด คนเราตกเป็นทาสความลวงได้ในพริบตา ไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังสูญเสียสิ่งพื้นฐานอะไรไป

๑ สูญเสียเวลา

๒ สูญเสียทางเลือก

๓ สูญเสียอิสระในความคิด

๔ สูญเสียการรับสิ่งพื้นฐานรอบตัว

มันเป็นการตกเป็นทาสสมัยใหม่

คนสมัยใหม่อาจไม่รู้ตัวว่า การปลูกต้นไม้หนึ่งต้นไม่เป็น ตีเป็นมูลค่าเท่าไร

การจะหลุดพ้นจากการเป็นทาสความลวง จะต้องทำตัวเหมือนการกินอาหาร คือกินเพียงพอประมาณ และไม่ติดในรส

กินเพียงแค่ใกล้อิ่มก็พอ

สนุกแค่นิดหน่อยก็พอ อย่าสนุกมากนักเลย

ฉันมองแค่พริบตาเดียวก็รู้ว่า คลิปเหล่านี้สนุกเกินไป โซเชียลมีเดียเหล่านี้สนุกเกินไป

แต่ละคนเสพจนพุงกาง จนโรคเต็มตัว แต่ไม่รู้สึกตัว

ที่น่าตื่นตะลึง คือเกมโปเกมอน คุณเคยเห็นคนเล่นเกมนี้ไหม กิริยาที่เขาเล่น มันทำให้ฉันตื่นตะลึง มันเป็นกิริยาของคนบ้า มือที่ควงหมุนอย่างรวดเร็ว หมุนใหญ่ๆ อาการใจจดใจจ่อ จนลืมหมดทุกอย่าง มันหนักหนาสาหัส

ฉันยังไม่ได้พูดถึงกติกา ส่วนประกอบอื่นใดในเกม

ฉันแค่พูดถึงกิริยาของคนเล่น

ฉันคุยกับเพื่อนบางคน ขนาดเป็นนักเขียน นักอ่านในอดีต วันนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นทาสของคลิป เพราะมันไร้ที่สิ้นสุด สนุกสนานเกินบรรยาย แต่ร่างกายของเขากำลังผ่ายผอมลง กำลังแห้งลงทีละน้อย และพบว่าตัวเองไม่ได้ขยับไปไหน เกินกว่าหน้าจอคอม หลายวันไม่ได้เดินออกจากห้องนอน กินอาหารแบบง่ายๆ แค่กันตาย คำพูดเปลี่ยนไป วิธีคิดเปลี่ยนไป สนุกสนานตื่นเต้น เพราะค้นพบจักรวาลใหม่ แต่มันเป็นจักรวาลลวง ทำไมฉันรู้ว่ามันเป็นจักรวาลลวง เพราะมันสนุกเกินไป

ความผิดอยู่ที่ว่ามันมากไป มันล้ำเส้น

เกมโปเกมอน เป็นเกมที่ทำได้ดีมาก สนุกสนาน ฉลาด ในความเป็นเกม มันเป็นเกมที่ดีที่สุดเกมหนึ่ง แต่ความผิดมีเพียงว่า มันสนุกเกินไป มันล้ำเส้น มันประสบความสำเร็จมากเกิน จนกลายเป็นความคลั่ง

ผิดอยู่ที่คำนี้คำเดียว คือเกินไป

ประสบความสำเร็จน้อยกว่านี้หน่อย ก็จะไม่มีปัญหา

การรู้ตัวว่าไม่ล้ำเส้น นี้คือกติกาที่ยากที่สุด

มันคือการเดินเล่น การขุดดิน การออกกำลังกาย การเดินจงกรม

แม้แต่อุดมคติก็เป็นความลวงได้

ฉันจึงยอมรับประชามติด้วยดี และไม่แปลกใจเลย ที่จริงฉันรู้ตัวล่วงหน้าตั้งนาน เพราะเพียงแค่การพูดคุย ก็มองเห็นจิตใจคนไทย คนที่รับไม่ได้ คือคนที่ไม่ยอมรับความจริง

ประชามติครั้งนี้ผ่าน ไม่ใช่เพราะผู้คนได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ จริงอยู่ มันเป็นประชามติที่ไม่สมบูรณ์ เพราะไม่ได้ให้โอกาสสองฝ่ายมาแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่

แต่ข้อมูลนั้นมีอยู่ ค้นหาได้ในเน็ต ที่แผ่กว้าง มันจึงไม่ใช่ความลับ ปิดไม่มิด

และไม่ใช่เพราะถูกโกง เพราะไม่จำเป็นต้องโกง ฝ่ายรับมีมากกว่ามาก จะโกงไปทำไม

แพ้เพราะคนไทยเป็นอย่างนี้เอง หากยอมรับความเป็นคนไทยไม่ได้ ก็คือไม่ยอมรับความจริง ทันใดนั้นเองก็จะแย้งกฎพื้นฐานของชีวิต เราจะไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างที่สุด เพราะเรายอมรับความต่างไม่ได้ เราไม่มีน้ำใจนักกีฬา

คุณค่าสิ่งต่างๆ รอบตัวของเรา กำลังเปลี่ยนค่าอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียว ผลประชามตินี้ก็ไม่มีความสำคัญ เพราะสิ่งอื่นสำคัญกว่า กำลังเกิดขึ้น