สุภาพบุรุษเพศหญิง สุภาพสตรีเพศชาย | วินาที สุวรรณเวโช : ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

สุภาพบุรุษเพศหญิง สุภาพสตรีเพศชาย | วินาที สุวรรณเวโช

ประกวดเรื่องสั้นมติชนอวอร์ด 2024

 

หมายเหตุ : เนื้อหาในเรื่องนี้เป็นเพียงความคิดเห็นจากประสบการณ์ส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่ใช่บรรทัดฐานในการตัดสินเพศทางเลือกที่มีความแตกต่างกันไปเฉพาะแต่ละกลุ่มหรือแต่ละบุคคล และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

เกิดเป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก

จะจีบสาวก็แสนยากหน้าไม่ให้

คิดแต่งทอมก็ไม่หล่อช่างท้อใจ

ทำงานไซร้เขาก็ให้ใส่กระโปรง

ไว้ผมยาวอยากได้ลุคหนุ่มมาดเซอร์

ใส่ชั้นในสปอร์ตเกิร์ลเก็บส่วนโค้ง

เสื้อผ้าทอมซ่อนรูปแพงจ่ายไม่ลง

ซื้อรองเท้าก็ต้องปลงส้นสูงมา

จะไปไหนกับผู้ชายหาว่ามั่ว

เป็นชะนีเรียกผัวอยู่นั่นหนา

เพื่อนสาวคบระวังตัวกลัวมารยา

เพื่อนชายหาคนใจจริงยิ่งไม่มี

คนล่าสุดที่รักรักไปแล้ว

ทำเราแห้วเพราะใช่ชายจึงหน่ายหนี

สุภาพบุรุษเพศหญิงยิ่งนารี

จะตามหาสุภาพสตรีมาคู่เคียง

 

เสียงริงโทนจากโทรศัพท์อเนกประสงค์ดังขึ้น จอโทรศัพท์ปรากฏชื่อผู้โทรคือปรีชา

“แกโพสต์บ้าบออะไรในเฟซบุ๊กของแกวะ” ปรีชาถาม

“มันก็เรื่องของชั้นป้ะ?” เอราณีตอบ

“ชั้นบอกแกแล้วว่าอย่ามาคิดอะไรเชิงชู้สาวกับชั้น เรา-เป็น-แค่-เพื่อน-กัน ชั้นไม่อยากให้ใครมองว่าชั้นเป็นเลสเบี้ยน”

“แล้วที่แกเคยบอกว่า แกรักชั้น… ยังงั้นยังงี้?”

“แกคิดไปเองรึเปล่า ชั้นรักเพื่อนชั้น ชั้นก็บอกว่ารัก รักเป็นเพื่อนกัน ก็แค่นั้น”

“แล้วที่แกเคยบอกว่า แกเป็นผู้หญิง ที่เป็นทอม… อะไรของแกน่ะ”

“ชั้น-เปลี่ยน-ไป-แล้ว เราก็โตๆ กันแล้วป้ะ แล้วคนทั้งมหาลัยรู้ว่าแกเป็นเลสเบี้ยน ถ้าชั้นยังเดินกับแกชั้นคงไม่ได้ผัวล่ะ”

 

ชั้นแกล้งวางสายใส่เอ ตัดบทแทนการกล่าวบริภาษเพื่อบอกลา ยังจำสัญญาว่าวันพฤหัสฯ หน้าจะไปดูหนังเรื่องมู่หลานด้วยกันได้ ตั้งแต่เด็กๆ ชั้นเคยดูการ์ตูนดิสนีย์เรื่องมู่หลานแล้วก็ชอบมาก มู่หลานคือหญิงสาวในประวัติศาสตร์จีนที่เป็นลูกกตัญญู ปลอมตัวเป็นผู้ชายออกไปเกณฑ์ทหารแทนพ่อ มู่หลานต้องสู้ทนปกปิดความเป็นหญิงแล้วเข้าฝึกทหารท่ามกลางชายฉกรรจ์เป็นกอง ต้องฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่งเท่าชายชาตรีเพื่อใช้กำลังออกรบเสี่ยงชีวิตป้องกันประเทศ ตอนจบในการ์ตูนเธอได้พบรักกับแม่ทัพที่ดูแลเธออยู่และลงเอยด้วยชีวิตคู่ที่แสนสุข

แต่ชั้นล่ะ ชั้นมีอะไรเทียบได้กับมู่หลานบ้าง เกิดมาหน้าอกก็ไม่มี เสียงก็แหบห้าวขึ้นทุกวัน หนวดเคราก็แทงหนังหน้าออกมาให้โกนอยู่ทุกเช้า และที่ไม่อยากพูดถึงเลยก็คือ ไอ้@#$!?* น่าเกลียดน่ากลัวที่ปูดออกมาตุงกางเกงในจนไม่อยากจะถอดให้เห็นว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่มีความรู้สึกมากกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ เลย ยิ่งอายุมากขึ้นเป็นวัยรุ่นตอนปลาย เจ้าช้างม้าวัวควายนี่ก็ยิ่งทวีความน่าขยะแขยงมากกว่าสมัยยังเด็กขึ้นไปอีกหลายเท่า

พอได้เข้าโรงเรียน ชั้นก็เหมือนเด็กหญิงมู่หลานที่ต้องแต่งตัวเป็นผู้ชาย แล้วต้องทำกิจกรรมอะไรแยกออกไปจากเพื่อนสาวๆ ที่น่ารักของชั้น แม้ชั้นจะได้เปรียบสาวอื่นตรงที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเพื่อนชายที่พวกเธอกรี๊ดกันมากกว่า แต่ชั้นก็อยู่ใกล้เกินไปจนถูกมองข้าม แถมกิจกรรมนักเรียนแบบผู้ชายๆ อย่างลูกเสือหรือนักศึกษาวิชาทหาร ก็บังคับให้ชั้นต้องแสดงความแมน ต้องเสแสร้งตะโกนเสียงห้าวๆ และออกกำลังกายเหนื่อยแทบขาดใจ แทนที่กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยให้ชั้นค้นพบความเป็นตัวของตัวเองและพัฒนานิสัยแห่งผู้นำเพื่อให้ชีวิตประสบความสำเร็จ มันกลับทำให้ชั้นอับอาย กล้ามขึ้น เหนื่อยเปล่า แทนที่ชั้นควรจะดูแลร่างกายให้บอบบางน่าทะนุถนอมตามตัวตนที่ชั้นเป็นอยู่ ยิ่งเสียเปรียบเพื่อนชะนีมากขึ้นไปอีกเมื่อต้องไถหัวเกรียน หรือวิดพื้นพร้อมพวกผู้ชาย ในวงล้อมสายตาของสาวๆ ที่ฉายแววสมเพชชั้นเมื่อมองมา

ในที่สุดเมื่อถึง ม.5 ชั้นก็เลิกเป็นนักศึกษาวิชาทหาร แม้ว่าจะไม่ได้ตามไปส่องผู้ชายที่ชอบ แต่ก็คุ้มที่จะได้ไม่ต้องโถมแรงกายทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ต่ออนาคตของมู่หลานอย่างชั้น แล้วก็หันไปร่วมกิจกรรมกุ๊กกิ๊กๆ กับเพื่อนสาวคนอื่นๆ เพื่อที่ชั้นจะได้ตามทันพวกเธอในวงสนทนาและหาวิธีที่จะได้มาซึ่งสามีในอนาคตอย่างที่พวกเธอเมาธ์กัน

และเมื่อชั้นได้เห็นเหล่าพี่ๆ นางฟ้าแต่งตัวสวยไปเกณฑ์ทหารตามข่าวบ่อยขึ้น ชั้นก็ยิ่งมั่นใจและฝันที่จะไปเข้ารับการเกณฑ์ทหารในชุดที่สวยที่สุดให้ผู้ชายทั้งจังหวัดหันมามอง

 

เมเจอร์ซินีเพล็กซ์

“อ้าว” ปรีชาทัก

“อ้าว” เอราณีเงยหน้ามอง

“ชั้นมาดูมู่หลาน” ปรีชาบอก

“ชั้นก็เหมือนกัน” เอราณีใจชื้น

“ไม่มีใครเลี้ยงหนังชั้น แกมาก็ดี ไปซื้อตั๋วให้ชั้นซะ ที่นึง ไป” ปรีชาสั่ง

สามทุ่ม ศูนย์อาหาร

“ไหนว่าไม่อยากเดินกับชั้น” เอราณีเย้า

“ที่นี่ไม่ใช่มหาลัย” ปรีชาตอบ

“แล้วใครบอกจะหาผัวใหม่?”

“ชั้นแค่อิจฉาแก”

“อิจฉาชั้น?”

“ที่พวกไอ้ต้น ไอ้เอก ไอ้บอม มันตั้งกลุ่มแข่งกันจะจีบแก”

“จีบชั้น?”

“แกไม่ได้อยู่หอชาย แกคงไม่รู้สินะ”

“ชั้นก็พอได้ยินมาบ้าง แต่ชั้นไม่ชอบ ที่ผู้ชายไปตกลงกันเอง โดยไม่ให้ชั้นตัดสินใจ”

“แล้วพวกนั้นก็มารุมเจรจาให้ชั้นถอยห่างจากแกออกไป นี่ดีนะที่ชั้นไม่ได้แอ๊บแมน ไม่งั้นคงมีต่อย”

“ชั้นว่าไร้สาระมาก ชั้นเป็นสุภาพบุรุษเพศหญิง ถ้าชั้นชอบใครชั้นจะเข้าไปหาเอง”

“ถ้าพวกมันไม่ยอมล่ะ”

“แกคอยดูเถอะ ถ้าพวกมันมาจีบ ชั้นจะจัดการปั่นหัวให้หมด ยังไงๆ พวกมันก็ไม่ได้อยู่ในสเป๊กชั้นอยู่แล้ว”

“แล้วแกชอบคนแบบไหน”

“ก็สุภาพสตรี แบบแกไง”

“ชั้นเป็นผู้ชายนะยะ”

“สุภาพสตรีเพศชายไง ให้ผู้หญิงเป็นสุภาพบุรุษได้ ผู้ชายก็เป็นสุภาพสตรีได้ ชอบแบบนี้แหละ ดีที่สุดแล้ว” เอราณียิ้มให้ปรีชา

 

ปิดเทอมปีนั้น ปรีชาขอให้เอราณีตั้งชื่อสวยๆ แบบผู้หญิงให้ใหม่เป็นปรีชญาณ์ เรียกตัวเอราณีไปสะกดชื่อให้ถึงหน้าอำเภอเมืองเชียงใหม่ ปรีชญาณ์อยากได้หอพักหญิงและขอให้เอราณีเดินหาให้ครบทุกซอยแต่เอราณีบอกระเบียบหอพักคงไม่ให้ปรีชญาณ์เข้าปรีชญาณ์ก็ได้แต่ตัดพ้อว่ากะเทยไม่ทำใครท้องซักหน่อย พอหาหอพักชายให้ปรีชญาณ์ก็ขยะแขยงพวกผู้ชายตัวเหม็นที่ถอดเสื้อเดินไปมา และยังกลัวว่าถ้าพวกนั้นเห็นปรีชญาณ์ตัวบางร่างน้อยหน้าสวยแบบนี้อาจจะมาทำมิดีมิร้ายกับปรีชญาณ์ได้ สุดท้ายเอราณีก็หาหอพักรวมได้ในราคาสูงหน่อย ถ้าหอพักสกปรกไปปรีชญาณ์ก็จะไม่ยอมอยู่

การได้ออกจากหอพักชาย ทำให้ชั้นสามารถแต่งชุดนักศึกษาหญิงไปเรียนได้ เพราะไม่ล่อแหลมต่อคนในหอพัก ชั้นเริ่มหาฟองน้ำมาเสริมหน้าอก ยาคุมที่กินมานานก็ทำให้สะโพกองค์เอวชั้นได้ทรงพอดี ชั้นตัวเล็กพอที่จะใส่กางเกงผู้หญิงได้ เวลาเข้าห้องสอบที่ต้องแต่งชุดนักศึกษาชาย ชั้นก็ไม่ลืมใส่เน็กไทกับเชิ้ตแขนยาว แต่หน้าอกฟองน้ำกับกางเกงเอวสูงที่โชว์รูปร่างของชั้นพร้อมกับท่าเดินมารยายุรยาตรอย่างกุลสตรีไทย ก็ทำให้ชั้นดูเซ็กซี่พอจนผู้ชายมองเหลียวหลังทั้งมหาวิทยาลัยได้แล้ว

เอราณีเริ่มไม่มั่นใจในการแต่งหญิงของตัวเอง ถึงเอราณีจะไม่เคยแต่งหน้าทาลิปสติกไปไหน แต่ก็ไว้ผมยาวและใส่กระโปรงนักศึกษาหญิง แสดงตัวว่าเป็นผู้หญิง การที่ปรีชญาณ์มาคบกับเอราณีตั้งแต่ปรีชญาณ์ยังแต่งตัวเป็นผู้ชายทำให้เอราณีสับสน แม้เอราณีจะเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม และยังจีบเพื่อนหญิงในมหาวิทยาลัยก่อนที่จะมีปรีชญาณ์เข้ามา ซึ่งเอราณีไม่ได้ใส่ใจว่าจะวางตัวในฐานะเพศอะไร แต่ปรีชญาณ์มักจะวางตัวอยู่ในฐานะของฝ่ายชายเวลาจีบเอราณีมากกว่า ปรีชญาณ์ได้ทำให้เอราณีรู้ว่าตัวเองเป็นผู้หญิงมากขึ้น หลายครั้งที่ปรีชญาณ์หลอกล่อให้เอราณีได้รู้สึกภูมิใจในความสามารถของตัวเองเหมือนได้เป็นผู้ชายที่ช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ให้ผู้หญิง แต่หากมีปัญหาปรีชญาณ์ก็จะดูแลจัดการต่อให้เหมือนคุมสถานการณ์อยู่

ซึ่งเอราณีมองออกแล้วก็ยอมจำนนอยู่ในมารยาวิชานั้น

 

“เข้ามารับชั้นเดี๋ยวนี้ เร็ว” ปรีชญาณ์แกล้งแหวใส่โทรศัพท์

“มีอะไรเหรอ” เอราณีถาม รีบคว้ากระเป๋าลงจากมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

ปรีชญาณ์ยืนหันหลังเหลียวหน้ามาแล้วหมุนขวาโชว์กระโปรงพลีตสั้นเหมือนเซเลอร์มูน

“กระโปรงตัวนี้เป็นไงแก” ปรีชญาณ์ถามเมื่อหันหน้ามาแล้ว ยืนเท้าเอวแอ่นไปแอ่นมา

“สั้นไปรึเปล่า แต่ก็น่ารักดีนะ” เอราณีตอบและหลงรักปรีชญาณ์อีกครั้ง

เมื่อปรีชญาณ์แต่งหญิงได้ แต่เอราณีไม่กล้าเปลี่ยนไปแต่งชาย ในที่สุดปรีชญาณ์ก็หันไปมองผู้ชายด้วยความรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง เช่น ความเป็นชายในความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เมื่อทั้งสองคนไม่ยอมทำหน้าที่เป็นฝ่ายชาย เอราณีไม่สามารถแสดงตัวเป็นชายเหนือปรีชญาณ์ได้เหมือนที่เคยคบกับผู้หญิงที่เป็นหญิงมากกว่า จะเอาอะไรไปสู้กับผู้ชายคนอื่น แม้แต่ส่วนสูง เอราณียังสูงไม่ถึงปรีชญาณ์เลย จะให้รักกันแบบหนุ่มสาวในอุดมคติอย่างที่เห็นตามสื่อต่างๆ ปลูกฝังบรรทัดฐานทางความสัมพันธ์ชู้สาวมาตั้งแต่เด็ก จึงทำไม่ได้ สิ่งที่เอราณีพอจะทำได้คือต้องมีความสามารถบางอย่างเหนือกว่าผู้ชายที่ปรีชญาณ์ต้องการเท่านั้น

“ชั้นใส่ส้นสูงคู่นี้แล้วปวดเท้าอ่ะ” ปรีชญาณ์ร้อง

“ก็ไม่ต้องใส่ก็ได้นะ” เอราณีว่า

“แต่ถ้าไม่ใส่ชั้นก็ไม่สวยน่ะสิ ไซซ์นี้ก็หายากอยู่” ปรีชญาณ์บอก

เอราณีเห็นด้วย

ชั้นไม่รู้ว่าเอต้องการอะไร เอมีเวลาให้ชั้นน้อยลงเรื่อยๆ เอได้เป็นประธานรุ่นแล้วก็เอาแต่โทรศัพท์คุยงานกิจกรรมกับคนอื่นๆ ที่ชั้นไม่สนิทด้วย ชั้นพยายามช่วยเอทำกิจกรรมนักศึกษา คอยสอนท่าเต้น สอนเชียร์ลีดเดอร์ ชั้นรู้ว่าเอเหนื่อย ชั้นก็เหนื่อย แต่ทำยังไงเอถึงจะมองชั้นบ้าง ชั้นไม่ใช่คนเก่ง ไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง จะให้พยายามขนาดไหนเอถึงจะกลับมาหาชั้น ทำยังไงเราถึงจะกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวันเก่าๆ ที่เราเริ่มคบกันได้

เอราณีลืมไปแล้วว่า รักก็เป็นเพียงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่ไม่ได้จำกัดว่าใครต้องมีคุณสมบัติอย่างไร หรือทำหน้าที่เป็นฝ่ายไหนๆ เพียงแค่คนสองคนดูแลหัวใจของกันและกัน ด้วยความเข้าใจในตัวตนของแต่ละคนที่ต่างกันออกไป ไม่จำเป็นต้องรักแบบชู้สาวก็ได้ ไม่ว่าจะให้ปรีชญาณ์เป็นพี่สาว เป็นน้องชาย เป็นครูฝึก เป็นเจ้านาย เป็นลูกบุญธรรม เอราณีก็สามารถจัดสรรหัวใจแบ่งพื้นที่ให้ได้ทั้งนั้น

แต่ปรีชญาณ์ก็เลือกที่จะขอตัดความสัมพันธ์ระหว่างเอราณีไปเสียก่อนที่รักจะได้เติบโต

 

สามปีต่อมา ปรีชญาณ์ได้งานเป็นนักจัดรายการวิทยุ ปรีชญาณ์ไม่ค่อยมีเพื่อนผู้ชาย ผู้ติดตามในเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิง ผู้หญิงหลายคนมีปรีชญาณ์เป็นไอดอล ถ้าอยู่ในจังหวัดก็ติดตามกันจนไปกินหมูกระทะ ส่วนเพื่อนที่เคยเรียนร่วมกิจกรรมนักศึกษาด้วยกัน ปรีชญาณ์จะไม่ค่อยสุงสิงด้วยนัก ซึ่งก็คล้ายกับเอราณีที่บอกว่าได้ทำเพื่อคนพวกนี้มามากพอแล้ว เรียนจบแล้วสิ้นสุดกันที และปัจจุบันเฟซบุ๊กสามารถพาเราไปคุยกับใครก็ได้อยู่แล้ว

“แฟนคลับแกเยอะนะ” เอราณีกล่าวเมื่อได้ดูเพจงานดีเจของปรีชญาณ์

“ชั้นว่าชาติก่อนชั้นคงเป็นเจ้าหญิง แล้วคนพวกนี้เป็นนางสนม ติดตามชั้นมา…” ปรีชญาณ์มองออกไปทางแม่น้ำ มีแสงไฟจากสะพานเสาสูงเรียวงามและสายขึงที่ดูเหมือนพิณยักษ์ น้ำเจ้าพระยาเป็นสีดำยามค่ำ ไม่ค่อยสะท้อนเงาสะพานเอาเสียเลย

“แกสนิทกับพวกเค้าเหรอ” เอราณีถาม

“ก็งั้นๆ น่ะ ชั้นมันไอดอล คนเราก็เหงาเป็นนะ” ปรีชญาณ์รับโทรศัพท์ที่ใช้เปิดเฟซบุ๊กกลับมา ทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่ที่สวนสันติชัยปราการ เพราะปรีชญาณ์บอกเอราณีว่าอยากมาดูวิวสะพานพระรามแปด เอราณีชอบมาที่สวนนี้เพราะเป็นสถานที่จัดงานเทศกาลละครกรุงเทพ มาทีไรก็อยากชวนปรีชญาณ์ให้มาด้วย แต่กว่าจะได้รู้จักเทศกาล ปรีชญาณ์ก็เลิกกับเอราณีไปแล้ว

“ถ้าพวกนั้นเป็นนางสนม ชั้นคงเป็นอัศวิน…” เอราณียิ้มเศร้าๆ

“กล้าพูดนะ…” ปรีชญาณ์ทำตาโต

“เอ่อ… แหม… ก็…”

“เอราณี…”

“อื้ม”

“ขออะไรซักอย่างได้มะ”

“ได้?”

“แกช่วยขอชั้นแต่งงานทีสิ…” •