ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 พฤษภาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
เผยแพร่ |
ในตอนนี้ เราขอเล่าถึงผลงานของศิลปินอีกคนที่เราได้ชมในนิทรรศการ The Spirits of Maritime Crossing : วิญญาณข้ามมหาสมุทร ที่เป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60 ศิลปินผู้นั้นมีชื่อว่า
นที อุตฤทธิ์
ศิลปินร่วมสมัยระดับแนวหน้าผู้มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่รู้จักทั้งในแวดวงศิลปะของไทยและในระดับสากล
ผลงานของเขามุ่งเน้นในการสำรวจธรรมชาติความเป็นสื่อของงานจิตรกรรม ที่เชื่อมโยงระหว่างศิลปะคลาสสิคของยุโรปในยุคโบราณ กับสื่อสมัยใหม่อย่างภาพถ่าย ผนวกกับการใช้แสงและทัศนมิติ อันเป็นองค์ประกอบทางทัศนธาตุอันโดดเด่น
![Before You Accuse Me (Take A Look At Yourself) (2021) ภาพถ่ายโดย Arina Matvee](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง2-2284.jpg)
นทีมุ่งเน้นในการทำงานจิตรกรรมที่เป็นการสำรวจกระบวนการของการสร้างภาพ โดยได้แรงบันดาลใจจากผลงานของศิลปินชั้นครูในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกอย่างศิลปะยุคเรอแนซ็องส์และยุคบาโร้ก
ผลงานของนทีเป็นส่วนผสมระหว่างกลิ่นอายแบบงานจิตรกรรมคลาสสิคของตะวันตก กับงานจิตรกรรมเหมือนจริงในบริบทของความเป็นไทยแบบร่วมสมัย ที่ซ่อนอุปมาอันหลากหลาย ตั้งแต่การนำเสนอภาพของวิถีชีวิตของผู้คน การตีแผ่ประเด็นทางวัฒนธรรม ไปจนถึงบอกใบ้นัยยะเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยทั้งทางสังคม การเมือง และศาสนา ได้อย่างเปี่ยมชั้นเชิง
นทียังเป็นศิลปินที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในแนวทางอันแตกต่างหลากหลาย โดยไม่ยึดติดกับความคิดและเทคนิคเดิมๆ เขาเล่นแร่แปรธาตุระหว่างงานจิตรกรรมเหมือนจริง, จิตรกรรมทิวทัศน์ และจิตรกรรมกึ่งนามธรรม ไปจนถึงงานศิลปะในแขนงอื่นๆ อย่างงานภาพพิมพ์, ประติมากรรม, ศิลปะสื่อผสม และศิลปะจัดวาง
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง1-2284.jpg)
และผลงานที่นำมาจัดแสดงในนิทรรศการครั้งนี้ เป็นผลงานในชุดที่มีชื่อว่า Déjà vu: When the Sun Rises in the West (2018-2021)
ที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของศิลปินด้วยการร้อยเรียงความทรงจําของอดีตกับปัจจุบัน และหลอมรวมแนวคิดของโลกตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกัน
โดยตั้งสมมุติฐานถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างพระพุทธเจ้ากับอารยธรรมกรีกโบราณ เพื่อสำรวจและตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์และความเหลื่อมลํ้าระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก ที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิอาณานิคม
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง3-2284.jpg)
![Déjà vu (2019) (รายละเอียด) ภาพถ่ายโดย Arina Matvee](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง4-2284.jpg)
นทีใช้แนวคิดทางพุทธศาสนา ซึ่งเป็นแก่นแกนทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของภูมิภาคเอเชีย สื่อสารผ่านเทคนิคการทำงานของศิลปะตะวันอย่างงานจิตรกรรมสีน้ำมัน และประติมากรรมสำริด ทำหน้าที่เป็นเหมือนเส้นไหมที่ศิลปินนำมาถักทอเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นเรื่องราวที่หลอมรวมความเป็นตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่างแนบเนียน
“ผลงานชุดนี้มีจุดเริ่มต้นจากการที่ผมเดินทางไปทำงานที่เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี ซึ่งแนวคิดของผลงานชุดนี้เป็นการพบกันระหว่างตะวันตกกับตะวันออก ภายใต้คำถามที่ผมตั้งสมมุติฐานขึ้นว่า จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าอารยธรรมหรือวัฒนธรรมของโลกเราถูกดำเนินไปในทิศทางของภูมิปัญญาตะวันออก? หรือจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นต้นธารทางความคิดทั้งมวลของโลกตะวันตก?”
“แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากการที่ผมเตรียมงานศิลปะโครงการหนึ่งไปทำที่เนเปิลส์ แต่พอไปถึง ปรากฏว่าสภาพแวดล้อมของเนเปิลส์ทำให้เรานำไอเดียที่เตรียมเอาไว้ไปใช้ไม่ได้ ผมจึงเริ่มต้นทำงานในโครงการใหม่ ด้วยการเริ่มสำรวจเมืองและพิพิธภัณฑ์ที่นั่น จนได้พบว่า พิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติของเนเปิลส์ (Museo Archeologico Nazionale di Napoli) ที่รวบรวมคอลเล็กชั่นประติมากรรมหินอ่อนคลาสสิคของกรีกโบราณนั้นให้แรงบันดาลใจกับผมมาก โดยเฉพาะประติมากรรมโดรีโฟรอส (Doryphoros) ของโพลิไคลทอส (Polykleitos)”
“ตอนเห็นครั้งแรก ผมรู้สึกคุ้นตากับประติมากรรมนี้มาก แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน จนเดินกลับมาดูอีกรอบ ถึงนึกได้ว่านี่คือ ‘พระพุทธรูปปางลีลา’ ชัดๆ”
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง5-2284.jpg)
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง6.jpg)
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง7-2284.jpg)
“เดิมทีในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้มีคติในการสร้างรูปพระพุทธรูปหรือรูปเคารพ แต่พระพุทธรูปนั้นเกิดขึ้นมาในเวลาประมาณสามถึงห้าร้อยปี หลังจากการดับขันธ์ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า โดยช่างกรีกและโรมัน ซึ่งนำรูปแบบของการทำเทวรูปอะพอลโลของกรีก มาผนวกกับคำบอกเล่าของชาวเอเชียที่ต้องการจ้างวานให้สร้างรูปเคารพ จึงเกิดเป็นพระพุทธรูปแบบศิลปะคันธาระขึ้นมา สำหรับผม พระพุทธรูปจึงเป็นประจักษ์พยานที่ดีที่สุด ที่พูดถึงการหลอมรวมกันของตะวันตกกับตะวันออก”
“เมื่อชาวตะวันออกสร้างพระพุทธรูปขึ้นโดยอาศัยทัศนคติและโลกทัศน์ของช่างกรีกโรมัน โดยบรรจุความต้องการของตัวเองเข้าไป ผลที่ได้ออกมาจึงเป็นความก้ำกึ่งระหว่างความเป็นกรีกโรมันที่แสดงออกภายใต้แนวคิดของความเป็นตะวันออก หรือแม้แต่วัฒนธรรมหลายอย่างในโลกก็ถูกผสมผสานมาแต่ไหนแต่ไร อย่างเช่นวัฒนธรรมการดื่มชาของอังกฤษที่รับมาจากอินเดีย”
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง8-2284.jpg)
“สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าตะวันตกและตะวันออกอยู่ร่วมกันด้วยความเคารพและพึ่งพาอาศัยกันมานานแล้ว แต่ในปัจจุบันเมื่อดูจากมิติทางวัฒนธรรมอาจจะไม่เป็นแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการให้ค่าหรือการประเมินสิ่งต่างๆ ที่มีความเหลื่อมล้ำกันอย่างมาก”
“แนวคิดของผลงานชุดนี้เกิดจากการตั้งคำถามว่า เมื่อผมจบการศึกษา ผมมีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกเยอะมาก ผมรู้จักศิลปินตะวันตกแทบทุกคน แต่ผมไม่เคยรู้เรื่องศิลปะตะวันออก ไม่เคยรู้จักศิลปินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย เกิดอะไรขึ้นกับองค์ความรู้เหล่านี้?”
“สิ่งนี้ทำให้เราทบทวนใหม่ว่า ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของเอเชีย แต่เรากลับรับเอาความคิดหรือองค์ความรู้จากทางตะวันตกมาเยอะมาก แล้วก็ไม่ใช่ความรู้แท้ๆ หากแต่เป็นความรู้มือสองที่ถูกตีกรอบมาให้ จึงเป็นเรื่องยากที่เราจะพัฒนาตัวเองให้ไปสู่จุดที่เขาจะเคารพเราได้อย่างจริงใจ”
“ทำให้ผมอดตั้งคำถามเล่นๆ ไม่ได้ว่า ถ้าพระพุทธเจ้ามาที่ยุโรปในช่วงเวลาก่อนที่อารยธรรมทั้งมวลจะเกิดขึ้นจริง สิ่งนี้อาจจะช่วยทำให้ปัญหาที่เกิดจากลัทธิอาณานิคมลดน้อยลง หรืออาจไม่มีเลย หรือแม้แต่ทำให้ความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดระหว่างตะวันออกกับตะวันตกลดน้อยลงก็เป็นได้”
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง9-2284.jpg)
ผลงานของนทีชุดนี้ยังล้อไปกับธีมหลักของเวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60 อย่าง “Foreigners Everywhere” หรือ “ชาวต่างชาติในทุกแห่งหน” ดังที่ปรากฏในผลงานภาพวาดและประติมากรรมของเขา ซึ่งเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างคนต่างชาติต่างถิ่นจากตะวันออกและตะวันตก คนต่างชาติเหล่านี้ยังปรากฏตัวอย่างผิดที่ผิดทางในพื้นที่ทางศาสนาทั้งในโลกตะวันตกและตะวันออก ราวกับเป็นภูตผีหรือวิญญาณเร่ร่อนล่องลอยมาหลอกหลอนเจ้าบ้านถึงเหย้าเรือนก็ไม่ปาน
“อาจารย์อภินันท์ (โปษยานนท์) สนใจผลงานชุดนี้ของผมมานานแล้ว จนพอจะจัดแสดงนิทรรศการ The Spirits of Maritime Crossing ในเวนิส เบียนนาเล่ อาจารย์ก็มาชวนผมไปแสดงด้วย แล้วบังเอิญผมเข้าใจว่าธีมของงานนิทรรศการนี้มีหลายอย่างที่พูดถึงเรื่องผี อย่างชื่อของนิทรรศการ ‘วิญญาณข้ามมหาสมุทร’ ซึ่งผีเป็นคตินิยมของเอเชีย ที่มีความแปลกประหลาด งานของผมในชุดนี้ก็มีหลายชิ้นที่พูดถึงเรื่องผี ทั้งผีโครงกระดูก ทั้งผีไทย ผีฝรั่ง ที่เป็นตัวแทนของภูตผีของลัทธิอาณานิคม ที่มาหลอกหลอนเรา อาจารย์อภินันท์ก็เอาประเด็นเหล่านี้ไปหลอมรวมในนิทรรศการครั้งนี้”
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง10-2284-scaled.jpg)
ด้วยความที่การตกแต่งในพื้นที่แสดงงาน Palazzo Smith Mangilli Valmarana นั้นเป็นงานศิลปะแบบนีโอคลาสสิค ในศตวรรษที่ 18 ของอิตาลี ผลงานของนทีที่จัดแสดงภายในพื้นที่แห่งนี้เองก็มีรากฐานมาจากงานศิลปะและงานสถาปัตยกรรมอิตาเลียน ไม่ว่าจะเป็นอิทธิพลจากศิลปินชั้นครูในยุคยุคเรอแนซ็องส์อย่าง ปิเอโร เดลลา ฟรันเชสกา (Piero della Francesca) และอื่นๆ ทำให้ผลงานของเขามีปฏิสัมพันธ์และหลอมรวมตัวกับสถานที่แสดงงานแห่งนี้อย่างแนบเนียนกลมกลืนอย่างยิ่ง
นิทรรศการ The Spirits of Maritime Crossing : วิญญาณข้ามมหาสมุทร จัดแสดงในมหกรรมศิลปะนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล่ ครั้งที่ 60 ณ พื้นที่แสดงงาน Palazzo Smith Mangilli Valmarana ในเมืองเวนิส สาธารณรัฐอิตาลี ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน – 24 พฤศจิกายน 2567
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ทาง Facebook และ Instagram : Bkkartbiennale
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก มูลนิธิบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ •
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง11-2284.jpg)
![](https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2024/05/อะไรแม่ง12-2284.jpg)
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022