เทอร์โบ-เทอร์โบ๋ | สถานีคิดเลขที่12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

เทอร์โบ-เทอร์โบ๋

 

ดูเหมือน ทุกฝ่ายจะเห็นสอดคล้องกัน ว่า การต่อสู้ข้อหาล้มล้างการปกครอง

น่าจะเป็น “สงครามสุดท้าย” ในนามพรรคก้าวไกล

เพราะแม้แต่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เอง ก็ออกตัวไว้แล้วใน”การอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ” ว่านี่อาจจะเป็นการอภิปรายครั้งสุดท้ายของตน

สะท้อนว่า โอกาสที่พรรคก้าวไกล จะถูกยุบสูงมาก

ตอนนี้ หลายๆคนจึง มุ่งความสนใจ สถานการณ์ “หลัง”การถูกยุบพรรคมากกว่า ว่าจะเป็นอย่างไร

จะเป็นอย่าง ที่นายพิธา ว่าหรือไม่

คือจะเกิดภาวะพุ่งทะยาน เหมือน “ติดเทอร์โบ” ของพรรคใหม่ที่จะเกิดขึ้น

ซึ่งแน่นอนว่า มีฝ่ายทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย

ในฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ไม่เชื่อว่า จะเกิดภาวะ ยิ่งยุบ ยิ่งโต

เพราะหลังจากยุบพรรค จะมีกรรมการบริหารพรรคบางส่วนต้องยุติบทบาทลง ขณะเดียวกัน น่าจะมีส.ส.ถูกดูดไปสังกัดพรรคอื่น

ขณะเดียวกัน ฝ่ายที่มองว่าพรรคก้าวไกลเป็นอันตรายต่อทั้งตนเองและระบบ ก็คงเดินหน้าบดขยี้ต่อไป

ทั้งการยื่นเอาผิดจริยธรรมร้ายแรง ต่อป.ป.ช. ซึ่งอาจนำไปสู่การประหารชีวิตส.ส.พรรคก้าวไกล กว่า40 คน

ขณะเดียวกัน ก็พยายามหาทางควบคุมกลไก ที่จะส่งเสริมการเติบโตของพรรคการเมืองนี้

อย่างเช่นเรื่องที่ วุฒิสภาพยายามในห้วงก่อนจะหมดวาระ ด้วยการจะควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียของพรรคการเมือง ซึ่งแม้จะไม่ระบุโดยตรงว่าเป็นพรรคใด แต่โดยทิศทางแล้ว ก็มุ่งมาที่พรรคก้าวไกลเป็นหลัก

สะท้อนภาวะที่ต้องการควบคุม จำกัด และ ขจัด พรรคการเมือง”อันตราย”ในสายตาพวกเขา

คือไม่ให้ติดเทอร์โบ อย่างที่นายพิธาว่า

แต่เป็นเทอร์โบ๋–โบ๋เบ๋อันว่างเปล่า

กระนั้น จะทำได้จริงเช่นนั้นหรือไม่ ก็ยังมีคำถามโตๆพ่วงท้ายอยู่

เพราะ ประวัติศาสตร์การเมืองใหม่ โดยเฉพาะวิธีการยุบพรรค เพื่อขจัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ได้พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และต่อเนื่องมาถึงเพื่อไทยในปัจจุบัน

สะท้อนว่าการยุบพรรคไม่ได้ผล

ตรงกันข้าม กลับสามารถ มาปักธงบนเส้นทางอำนาจได้อีกครั้ง

แม้ว่าจะมีการอ้างถึง ทิศทาง แนวทาง และ อุดมการณ์ ไม่เต็มปากนัก

ด้วยเพราะการหวลคืนสู่ การเมืองและอำนาจของเพื่อไทยและครอบครัวชินวัตร มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึง “ดีลลับ” และ”แท็คติกทางการเมือง” อย่างอึงมี่

แต่กระนั้น “การยุบพรรค”ก็ไม่ใช่”ดาบประหารทางการเมือง”อันทรงฤทธานุภาพแต่อย่างใด

ยิ่งเมื่อไปใช้กับ พรรคก้าวไกล ที่ผ่านประสบการณ์ถูกยุบพรรคมาตั้งแต่ อนาคตใหม่ ยิ่งไม่ได้ ผล

เพราะสังคม ได้เห็น ปรากฏการณ์ยิ่งยุบ ยิ่งโต มาอย่างต่อเนื่อง

และในอนาคตอันใกล้นี้ หากมีการยุบพรรคก้าวไกล อีก นายพิธา ก็ได้ประกาศอย่างมั่นใจว่า จะไม่ใช่การโตธรรมดา

หากแต่เป็นการโตแบบติดเทอร์โบ

ด้วยเพราะมิใช่เรื่องของพรรคหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

หากแต่ผูกพันไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลง

ผูกพันกับสังคมที่ถอดรื้อไปสู่โครงสร้างใหม่

ผูกพันกับคนรุ่นใหม่ เทคโนโลยี่ใหม่ ที่มีอัตราเร่งแห่งการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

การยุบพรรค จึงไม่ได้มีผลกระทบเพียงแค่ก้าวไกลเท่านั้น

หากแต่สะเทือน ไป ถึง โครงสร้าง อุดมการณ์ และทิศทาง ของคนอีกรุ่นในสังคมด้วย

และหลายคนเชื่อว่า คงไม่นำไปสู่ภาวะโบ๋เบ๋หรือว่างเปล่าทางการเมือง เพื่อที่ให้ฝ่ายการเมืองเดิม ฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งเก่าและใหม่ ดำรงพื้นที่อำนาจของตนเองเอาไว้

หากแต่ถูกท้าทายและรอการพิสูจน์ว่าภาวะการพุ่งทะยานด้วยเทอร์โบการเมือง อย่างที่ นายพิธา ว่าจะเกิดหรือไม่–น่าติดตาม

————-