“หลัง”ชกอุ่นเครื่อง | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

“หลัง”ชกอุ่นเครื่อง

 

การอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ รู้กันดีอยู่แล้วว่า ไม่มีผลแพ้ชนะ

เปรียบกับการแข่งขันกีฬา โดยเฉพาะ กีฬามวย ที่นายกฯเศรษฐา ทวีสิน ชกกระสอบทรายโชว์ก่อนซักฟอกแบบไม่ลงมติ ไม่กี่วัน ก็เป็นเพียงการ “ชกอุ่นเครื่อง” เพื่อดูฟอร์ม ของแต่ละฝ่ายเสียมากกว่า

การชกอุ่นเครื่องนี้ ฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะนายเศรษฐา พอเอาตัวรอดไปได้ โชว์สไตล์มวยซีอีโอ คือแบบ”ไฟต์เตอร์” ลุยใส่คู่ตรงข้าม แบบไม่กลัว แม้เป็นการชกในสังเวียนสภาครั้งแรกในศึกซักฟอกก็ตาม

แต่ กระนั้นว่ากันตามเนื้อผ้า รัฐบาล ก็มี”การบ้าน”ที่ต้องทำและแก้ไข อีกมาก หลังจากทำงานมา 7 เดือน

หากไม่ทำการบ้าน เกิดมีการ”ชกจริง” คือซักฟอกโดยการลงมติ ในอนาคต

อาจจะต้องเจอ”ศึกหนัก”ทำสะบักสะบอมได้

สำหรับพรรคก้าวไกล แม้จะไม่โดดเด่นนัก แต่ก็อยู่ในมาตรฐานของตนเอง

และน่าเห็นใจ พรรคก้าวไกลอยู่ตามสมควร เพราะสมาธิไม่ได้แน่วแน่อยู่กับการ ชกอุ่นเครื่อง ครั้งนี้เท่าใดนัก

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น คู่ขนานไประหว่างการขึ้นเวที คือการที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับวินิจฉัย การยุบพรรค ฐานล้มล้างการปกครอง ที่ศาลรัฐธรรมนูญเองนั่นแหละเป็นผู้วินิจฉัยไว้

ดังนั้น ทุกฝ่าย โดยเฉพาะพรรคก้าวไกลเอง ก็ย่อมแลเห็นแนวโน้ม ว่าโอกาสจะรอดไม่ถูกยุบพรรคนั้นมีน้อย

จึงทำให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เปิดใจ ระหว่างอภิปรายญัตติซักฟอกว่า การอภิปรายในครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตการเมืองของตน

เท่ากับเป็นการยอมรับชะตากรรมกลายๆ

ชะตากรรม ที่หากเปรียบเป็นกีฬามวยอีกเช่นกัน

คงต้อง หา”ค่าย”สังกัดใหม่ และพยายามรวบรวม “นักมวย” ในสังกัด ไม่ให้แตกไปอยู่ค่ายอื่น

และที่สำคัญต้องเลือกเฟ้น มวยดาวรุ่งมาทดแทน มวยรุ่นพี่ที่ถูก”แบน”ในกรณีถูกยุบพรรค

รวมทั้งคงต้องชกอุ่นเครื่องอีกหลายครั้ง กว่าจะพร้อม ชกจริง

เส้นทางของพรรคก้าวไกล จึงทุรกันดารอย่างยิ่ง

มวยอีกค่าย ที่น่าสนใจ นั่นก็คือ “ประชาธิปัตย์” ที่หลังจากชกอุ่นเครื่อง คราวนี้แล้ว ดูจะสะบักสะบอม มากกว่าเพื่อน

เพราะก่อนขึ้นเวที ก็เจอปล่อยข่าวเสียแล้วว่า อาจจะชกไม่เต็มที่

เนื่องจากหัวหน้าค่าย กำลังเตรียมการพาคนในค่ายไปอยู่ในฟากรัฐบาล

เพื่อรอความหวังที่จะเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรี

ทำให้ การจัดทัพขึ้นเวทีแปลกๆ นั่นคือ มอบหมายให้ ฝ่ายอำนาจเดิม ซึ่งฟาดฟันกันมาอย่างหนักในช่วงการแย่งชิงอำนาจในประชาธิปัตย์ ขึ้นเวที ไม่ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ นายชวน หลีกภัย

ส่วนทีมบ้านใหญ่ของนายเฉลิมพันธ์ ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค พากันยืนกอดอกดูเฉยๆ

แม้จะมีตัวแทนขึ้นเวทีบ้าง แต่ก็เป็นเพียง”ไม้ประดับ”

ตัวจริง-ตัวตึง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ นายจุรินทร์ และนายชวน แทน

ปรากฏว่า นายจุรินทร์ นายชวน เล่นบทฝ่ายค้านได้ดีเยี่ยม ปล่อยหมดเข้าใส่รัฐบาล และนายกรัฐมนตรี อย่างไม่ยั้ง

จนประชาธิปัตย์ กลายเป็น คู่ขัดแย้งกับ เพื่อไทย ชัดเจนมากกว่าพรรคก้าวไกล

ทำให้นายกฯต้องรัวหมัดตอบโต้หนักหน่วง

โดยโฟกัสไปจุดอ่อน นั่นคือ ความเป็นฝ่ายค้าน”งง-งง”

คือชกไปด้วย แต่อีกด้านก็อยาก”กอด”เป็นมิตรกับเพื่อไทยด้วย

เจอถล่มจุดอ่อนเช่นนี้ประชาธิปัตย์ นอกจากเสียเครดิตแล้ว

ยังทำให้แม้การชกอุ่นเครื่องครั้งนี้จะชก พอดูได้

แต่ ก็ทำให้เพื่อไทยก็คง”แช่แข็ง”ประชาธิปัตย์ ยังไม่ให้เข้าร่วมครม.ไปอีกนาน

——————-