จักรภพ เพ็ญแข หยุดสภาพ ‘คนไทยพลัดถิ่น’ คัมโฮมสู้คดี-ลุ้นช่วยชาติอีกรอบ

ได้กลับมาประเทศไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน หลังลี้ภัยทางการเมืองนานถึง 15 ปี และยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ตัวเอง สำหรับ “นายจักรภพ เพ็ญแข” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล “นายทักษิณ ชินวัตร” ที่กลับมาเหยียบแผ่นดินประเทศไทยอีกครั้งเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา

จากอดีตผู้ดำเนินรายการทีวีหลายช่อง จนได้เข้าสู่ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในอดีตหลังจากคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ.2549 เคยเป็นแกนนำจัดเวทีปราศรัยต่อต้านคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยใช้ชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) ก่อนจะตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศ ในช่วงเดือนเมษายน พ.ศ.2552

จนมาถึงช่วงรัฐประหารในประเทศไทย วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 จักรภพ เพ็ญแข เป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกคณะรักษาความสงบแห่งชาติออกคำสั่งเรียกให้ไปรายงานตัว แต่เจ้าตัวไม่ได้ไป

ทำให้ศาลทหารออกหมายข้อหาฝ่าฝืนการไปรายงานตัว และถูกกล่าวหาในคดีที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม ใน พ.ศ.2560 โดยวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ.2560 ศาลอาญาได้ออกหมายจับ ในข้อหาร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายและเป็นอั้งยี่

 

ต้นเมษายนที่ผ่านมา รายการ “เอื้อย talk ของมติชนทีวี” ได้สัมภาษณ์นายจักรภพ ถึงเหตุผลที่ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย หลังลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศนานถึง 15 ปี และแน่นอนว่าการกลับมาครั้งนี้ย่อมมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในสังคม ที่บางส่วนเกิดความสงสัยว่าทำไมเลือกกลับมาในยุครัฐบาลเพื่อไทย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าก่อนหน้านี้อดีตนายกฯ ทักษิณ ได้กลับมาและได้รับการพักโทษจนไม่ต้องใช้ชีวิตในคุกแม้แต่วันเดียว

กลายเป็นข้อสงสัยให้สังคมตั้งคำถาม โยงใยความสัมพันธ์ระหว่าง “จักรภพ-ทักษิณ” ว่าจะมีการดึงตัวกลับมาช่วยงานเพื่อไทย ในยามที่ความนิยมของพรรคตกต่ำลงหรือไม่

“อันดับแรกสุดเลยคือเป็นการตัดสินใจของตัวเอง ถามว่าทำไม คิดอะไร สิ่งที่พูดมาทั้งหมดก่อนหน้านี้คือถูกต้องเกือบหมดนะ แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก ผมได้ถามนายกฯ ทักษิณว่าบ้านเมืองดีขึ้นหรือยัง สถานการณ์เปิดฉากให้หรือยัง ท่านก็บอกว่าเปิดแล้ว”

“สองเราเป็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นเพื่อไทย ก็คิดว่าน่าจะเป็นบรรยากาศที่พอจะบริหารจัดการให้เป็นไปตามครรลองกฎหมายได้ เพราะจริงๆ แล้วเรื่องคดีต่างๆ ที่เป็นมาตลอด ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสาหัสสากรรจ์ แต่ถ้ามันมีการเมืองแทรกปั๊บ เราไม่มั่นใจว่าจะถูกปั่นไปใช้ประโยชน์ในทางใดหรือเปล่า”

“เหตุผลหลักจริงๆ ที่กลับมา คือมองเห็นเมืองไทยเสียประโยชน์ไปทุกวัน ไม่ได้หลงตัวเองว่าเราจะไปทำอะไรใหญ่โตได้นะ แต่คิดว่าเราน่าจะเป็นเสียงหนึ่งแล้วเราพอมีประสบการณ์ในการเมือง ทางวิชาการ พอโอกาสทางการเมืองเปิด รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย นายกฯ ทักษิณก็ให้ความมั่นใจ แล้วเรามองดูโลกมีทั้งภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง การปฏิวัติดิจิทัล การเปลี่ยนเแปลงของโลก การโยกย้ายของคน เลยคิดว่ากลับตอนนี้ดีกว่า”

เมื่อถามว่า คิดว่าตัวเองสูญเปล่าไหม กับเวลา 15 ปีที่ผ่านมา?

“มันมีจังหวะที่จิตเหมือนจะตกไปตรงนั้น อยู่ดีๆ ก็เสียเวลาในชีวิตไป 15 ปี แต่สุดท้ายก็มองว่ามันไม่เสีย มองว่ามันเป็นประสบการณ์มากกว่า ชีวิตคนเราถามว่าสาระอยู่ตรงไหน แน่นอนเรากำหนดเป็นค่านิยมทางสังคม ว่าต้องเคารพบุพการี ประเทศชาติ เคารพในตัวเอง ทำอาชีพสุจริต แล้วแต่ว่าเราจะใส่อะไรเข้าไปในชีวิต”

“แต่จริงๆ แล้วสาระสำคัญในชีวิตมนุษย์ก็คือการหาความหมายให้ตัวเองว่า ถ้ารู้สึกว่าสิ่งใดมีความหมาย ชีวิตนั้นก็เป็นชีวิตที่มีค่ามีความสุข”

“สำหรับผมเองคิดว่าการทำประโยชน์เป็นเรื่องใหญ่ แต่การจะทำประโยชน์ให้สูงสุดคือต้องมีประสบการณ์ พูดง่ายๆ คือมอง 15 ปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องของประสบการณ์ ได้ประสบการณ์กลับมาเยอะเลย ไม่ว่าจะในเรื่องความบอบช้ำ ความเศร้าโศก ความสูญเสีย”

“อย่างน้อยก็ได้รู้ตัวเองว่าตอนนั้นเราจะเยียวยารักษาจิตใจยังไงให้ตัวเองไม่กลายเป็นของไร้ค่าเพราะมัวแต่จมอยู่กับอดีตของตัวเอง ก็ตั้งใจจะใช้ให้เป็นประโยชน์เต็มที่หลังจากนี้ไป ไม่ว่าจะเหลือเวลาอีกกี่ปีก็ตาม”

 

การสลัดภาพ ‘คนไทยพลัดถิ่น’ กลับคืนประเทศบ้านเกิดเมืองนอนครั้งนี้ นายจักรภพยังคงย้ำเป้าหมายสำคัญคือการกลับมาสู้คดีที่ติดตัว ช่วยเหลือคนอื่น รวมถึงต้องการกลับมาช่วยงานพัฒนาประเทศอีกครั้ง

การกลับมาครั้งนี้เพื่อภารกิจช่วยพรรคเพื่อไทยด้วยหรือไม่ เจ้าตัวรีบตอบในทันทีว่า “ไม่มี” แต่ถ้ามีขึ้นมาทีหลังก็เอา ไม่ได้จะปฏิเสธ จะกลับมาทำงานปลดเปลื้องตัวเองจากเรื่องคดีความต่างๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งงานสาธารณะ เพราะว่ายังอยู่ในเส้นทางการเมือง

“กลุ่มที่ตั้งใจจะต้องช่วยก่อนก็คือกลุ่มที่มีคดีในแง่ของไม่มีการเมืองแทรกมาก เป็นคดีการเมืองในยุคก่อน เช่น ผมเป็นคนยุค คมช. ตั้งแต่ปี 2549 มีคนที่ติดอยู่ในห้วงเหวนี้เยอะแยะไปหมดทั้งในไทยและต่างประเทศ ผมก็คงต้องยอมรับว่ามุ่งไปที่กลุ่มนี้ก่อน เพราะมันเป็นเรื่องเก่าแล้วกลายเป็นแผลเป็นแล้ว มันสามารถจะพูดกันได้ง่ายขึ้น ศัตรูก็อาจจะล้มหายตายจากหรือลดราวาศอกกันไป ทุกคนได้รับบทเรียน”

“แต่ต้องยอมรับว่าพอมาเป็นยุค คสช. มันยังเป็นแผลสดอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น 112 หรือไม่ก็ตาม มันยังเสี่ยงอันตราย ผมคงไม่กล้าเข้าไปตอนนี้”

“ผมยังถือว่าผมเป็นนักการเมืองอยู่นะ ถึงจะไม่มีตำแหน่งก็ตาม ปัจจุบันมันมีงานอีกระดับหนึ่ง คืองานที่เป็นผู้สนับสนุนผู้กำหนดนโยบาย เมื่อก่อนเราคิดว่าคนมีตำแหน่งจะเป็นนายกฯ รองนายกฯ เลขานุการ แต่ตอนนี้ไม่ต้อง เป็นคณะทำงานที่ศึกษาเรื่องราวต่างๆ กลั่นกรองแล้วนำไปสู่การตัดสินใจ”

“แน่นอนเราต้องเคารพผู้ที่อยู่ในอำนาจว่าคนนั้นต้องเป็นคนพูดครั้งสุดท้าย แต่เราก็มีสิทธิ์เสนอเหมือนกัน เราเสนอได้ ตอนนี้ก็บอกตรงๆ ว่าเริ่มมีการปรึกษาแบบไม่เป็นทางการกันบ้างแล้ว เช่น เรื่องสถานการณ์รอบประเทศไทย มันมีเรื่องสถานการณ์เมียนมา ซึ่งไม่นานก็จะเป็นเรื่องที่เราต้องมีจุดยืนว่าเราจะสนับสนุนใคร”

ถามถึงภารกิจที่อยากจะทำเมื่อกลับประเทศไทย อยากทำอะไรมากที่สุด

อดีตโฆษกคนดังตอบว่า หนึ่ง คือการต้องจัดระเบียบตัวเองให้เรียบร้อย ทั้งเรื่องคดีและความเป็นอยู่ส่วนตัวไม่ให้เป็นภาระของใคร

สอง ทำประโยชน์และได้ทำเลยโดยที่ไม่ต้องไปมีตำแหน่ง มีหน้าที่ ไม่ต้องคิดถึงเงินรายได้

และสาม จะขอหาความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย เนื่องจากว่าเราจากไปนาน อยากจะไปให้ทั่วกรุงเทพฯ ไปในจังหวัดต่างๆ ไปดูว่าเขากินเขาอยู่ เขามีอาชีพกันยังไง มันเหมือนกับ Getting to know again ขอรู้เกี่ยวกับประเทศไทยอีกครั้งครับ

ท้ายสุดกับประเด็นที่สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ว่าทำไมปล่อยเวลาผ่านมาถึง 15 ปี ถึงมั่นใจที่จะกลับมา

นายจักรภพกล่าวว่า มี 3 สิ่งสำคัญที่ทำให้ตัดสินใจกลับมาง่ายขึ้น นั่นคือระบอบทหาร การได้รับอนุญาตให้เลือกตั้ง และการที่ความขัดแย้งปัจจุบันเป็นเรื่องระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย ที่ตนมองว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งระหว่างพรรค โดยไม่มีฝ่ายที่สามมาร่วมทะเลาะ นั่นแสดงว่าเหตุการณ์มันดีขึ้นแล้ว

บวกกับได้รับคำแนะนำจากนายเก่า ที่ให้ความมั่นใจหากจะกลับมา

“ผมยอมรับ ถ้าท่านบอกว่าจักรภพอย่าเพิ่งเลย ผมก็อาจจะไม่มา เพราะเราเชื่อในวิจารณญาณของท่าน เราอยู่กันมาตั้งแต่ท่านเป็นนายกฯ ผมเป็นโฆษก เราเชื่อวิจารณญาณการเป็นผู้นำของท่าน ทุกเรื่องที่รัฐบาลต้องการเราช่วยได้หมด แต่ต้องไม่เป็นการช่วยโดยเป็นการตีความว่าคนที่ทำหน้าที่ไม่ดี อันนี้ผมขอไม่เข้าไปเสริมปัญหาตรงนี้ เพราะว่ามันสร้างความร้าวฉานโดยไม่จำเป็น”

“แต่ถ้าตรงไหนช่วยได้ยินดีเสริมครับ” นายจักรภพกล่าว