ถ้าคุณทักษิณอยากเอาชนะก้าวไกล

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

บทความพิเศษ | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

https://www.facebook.com/sirote.klampaiboon/

 

ถ้าคุณทักษิณอยากเอาชนะก้าวไกล

 

ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกแล้วว่าแกนกลางของการเมืองวันนี้รวมศูนย์ที่การทำลายพรรคก้าวไกล

แต่นอกจากการใช้กฎหมายเพื่อเป้าหมายทางการเมืองอย่างที่ทุกคนรู้กัน การแย่งชิงคะแนนนิยมจากก้าวไกลก็ยังเป็นเป้าหมายที่ผู้มีอำนาจต้องทำโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยเช่นกัน

ล่าสุด ผลสำรวจนิด้าโพลยิ่งทำให้ผู้มีอำนาจต้องรีบสกัดก้าวไกลขึ้นไปอีก เพราะคะแนนนิยมให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีพุ่งจาก 39.40% ในเดือนธันวาคม 2566 เป็น 42.751% ในเดือนมีนาคม 2567

และความต้องการให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลพุ่งจาก 44.05% เป็น 48.45% แม้เป็นฝ่ายค้านคือหลักฐานว่าการทำลายก้าวไกลไม่ได้ผลเลย

ยิ่งเทียบคะแนนนิยมของคุณพิธากับคุณเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งลดจาก 22.35% ในเดือนธันวาคม 2566 เป็น 17.75% ในเดือนมีนาคม 2567 และของพรรคเพื่อไทยซึ่งลดจาก 24.05% เป็น 22.10% ก็จะพบว่ายิ่งนานคนไทยยิ่งต้องการให้พิธาเป็นนายกฯ และก้าวไกลเป็นรัฐบาลยิ่งกว่าคุณเศรษฐาและพรรคเพื่อไทยที่คะแนนมีแต่ลดลง

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบวนการสกัดก้าวไกลมีมาตั้งแต่อนาคตใหม่ได้ ส.ส.ถล่มทลายจน ผบ.ทบ.ต้องเปิดห้องประชุมกองทัพแถลงโจมตีรายเดือน

และปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่ากระบวนการทำลายล้างที่มาถึงขั้นเตรียมยุบก้าวไกลกลับไม่ประสบความสำเร็จเลย นอกจากทำให้อนาคตใหม่และก้าวไกลหาชื่อพรรคใหม่แทน

ส.ว.วันชัย สอนศิริ ซึ่งโหวตคุณเศรษฐาเป็นนายกฯ ในปี 2566 ก็ยอมรับตรงๆ ในปี 2567 ว่า คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการสกัดพรรคก้าวไกล

แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ ส.ว.วันชัยพูดแบบนี้เพื่อสื่อสารกับ “เครือข่าย” ว่าให้เลิกไม่พอใจคุณทักษิณได้แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องกลับไทยโดยไม่ติดคุกหรือตั้งรัฐบาลเพื่อไทย

ถ้าไม่นับพม่าแล้วก็ไม่มีประเทศไหนยอมให้ทหารตั้ง ส.ว.ไปเลือกนายกฯ แข่งกับประชาชน

และที่ไม่มีทางมากที่สุดคือ ส.ว.พูดโดยเปิดเผยว่าการสกัดก้าวไกลคือเหตุในการโหวตพรรคเพื่อไทยและคุณเศรษฐาเป็นนายกฯ ไม่ใช่เพราะคุณเศรษฐาและเพื่อไทยมีอะไรดี

แต่เพราะอยากได้คุณทักษิณไว้ปราบก้าวไกล

 

เป็นอันว่าประเทศไทยวันนี้ไม่ได้รัฐบาลจากพรรคที่ประชาชนเลือกอันดับหนึ่งอย่างคุณพิธาและพรรคก้าวไกล และ ส.ว.ไม่ได้เลือกรัฐบาลจากพรรคที่เก่งที่สุดหรือดีที่สุด

แต่เลือกจากพรรคที่เครือข่ายชนชั้นนำต้องการใช้ผู้มีอิทธิพลเหนือพรรคเป็นเครื่องมือกำจัดพรรคก้าวไกลและแย่งความสนับสนุนจากประชาชน

ด้วยไฟเขียวของผู้มีอำนาจและรัฐบาลที่ลดโทษให้คุณทักษิณจนไปไหนมาไหนเหมือนคนปกติทั้งที่ยังเป็นนักโทษ และด้วยบทบาทคุณทักษิณที่เตรียมเดินสายไปพื้นที่ต่างๆ โดยวิธีให้รัฐมนตรีและ ส.ส.อ้างว่าประชาชนในพื้นที่ต้องการพบ สิ่งเดียวที่ยังไม่เกิดขึ้นตอนนี้คือคุณทักษิณขึ้นเวทีปราศรัยเท่านั้นเอง

สื่อจำนวนมากพูดว่าวิธีกลับไทยแบบนี้คือสัญลักษณ์ว่าคุณทักษิณเป็นศูนย์กลางจักรวาลการเมืองไทย และเมื่อคำนึงถึงรัฐมนตรีทุกคนที่บอกว่าพร้อมไปหาคุณทักษิณเพื่อขอคำปรึกษา และภูมิหลังของพรรคพลังประชารัฐ, ภูมิใจไทย และประชาชาติที่ล้วนเป็นลูกน้องคุณทักษิณมาก่อน คุณทักษิณก็ดูเป็นแบบนั้นจริงๆ

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยในการเลือกตั้งปี 2566 มีคน 14 ล้านที่เลือกพรรคก้าวไกลจนชนะอันดับ 1 คนเหล่านี้ไม่ได้เลือกคุณทักษิณ, พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ สังคมไทยจึงมีจักรวาลการเมืองอีกแห่งซึ่งใหญ่ที่สุดที่ไม่มีคุณทักษิณและฝ่ายรัฐบาลอยู่ในนั้นเลย

การเมืองไทยตอนนี้คือภาคต่อของการกำจัดพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลที่จัดทัพใหม่ให้คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยเป็นทัพหน้า จักรวาลการเมืองฝ่ายนี้ประกอบด้วยชนชั้นนำ, คุณทักษิณ, ทหาร, การเมืองเก่า และกลุ่มทุนการเมืองทั้งหมด

ขณะที่พันธมิตรของพรรคก้าวไกลในอีกจักรวาลการเมืองคือประชาชน

 

ท่ามกลางชัยชนะของพรรคก้าวไกลที่พรรคอื่นแพ้ราบคาบถล่มทลาย ภาพใหญ่การเมืองวันนี้คือฝ่ายแพ้เลือกตั้งจับมือกับฝ่ายต้านพรรคชนะเลือกตั้งเพื่อกินรวบอำนาจไว้ที่พวกตัวเองตลอดชาติ ก้าวไกลจึงถูกรุมจากองค์กรอิสระ, คดียุบพรรค, สื่อรัฐบาล, อำนาจเก่า และล่าสุดคือการจัดทัพของคุณทักษิณและเพื่อไทย

ปัญหาอย่างเดียวของยุทธการทางการเมืองแบบนี้คือไม่มีประชาชนในสมการเลย จะคิดถึงประชาชนบ้างก็แค่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเวลาหลอกให้คะแนนเสียงเลือกตั้งโดยวิธีบอกว่าจะแจกนั่นแจกนี่แล้วเบี้ยวเท่านั้นเอง

รัฐบาลเป็นเพียงจิ๊กซอว์เดียวที่จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์บ้างจากจักรวาลการเมืองเก่าที่จัดทัพใหม่ให้คุณทักษิณและเพื่อไทยเป็นทัพหน้า

แต่ปัญหาคือขณะที่ผลเลือกตั้ง 2566 บอกว่าประชาชนต้องการรัฐบาลที่ “ปฏิรูปโครงสร้าง” จนเลือกพิธาและพรรคก้าวไกลถล่มทลาย รัฐบาลนี้กลับไม่สนใจปฏิรูปอะไรเลย

บุคลากรรัฐบาลอ้างว่าการปรับนโยบาย 30 บาทหรือเจรจาวีซ่าจีนคือการ “ปรับโครงสร้าง” แต่ทุกคนที่ไม่กะล่อนล้วนรู้ดีว่า “ปรับโครงสร้าง” หมายถึงการปรับกลไกที่ครอบงำประเทศอย่างทหาร, ตำรวจ. รัฐธรรมนูญ, การผูกขาดทางเศรษฐกิจ, องค์กรอิสระ, 112 ฯลฯ ไม่ใช่ปรับนโยบายรถไฟฟ้าหรือการบิน

ในสังคมที่ประชาชนฝันถึงดวงดาวเรื่อง “ปรับโครงสร้าง” แต่รัฐบาลมองแค่ยอดมะพร้าวเรื่องจัดคอนเสิร์ตหรือลายกางเกง

สิ่งที่รัฐบาลเป็นได้มากที่สุดคือการกดเพดานความหวังของประชาชนให้ต่ำแล้วใช้กลไกรัฐหว่านล้อมให้ประชาชนลดเพดานให้ต่ำตามที่รัฐบาลไปดีลเพื่อได้อำนาจการเมือง

สังคมประชาธิปไตยคือสังคมที่รัฐบาลยกเพดานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงตามความคาดหวังประชาชน เมื่อใดที่รัฐบาลกดเพดานนี้ลง เมื่อนั้นก็เท่ากับรัฐบาลคิดเรื่อง “ดีล” เพื่อต่อต้านความเปลี่ยนแปลงมากกว่าเปลี่ยนประเทศตามที่ประชาชนหวัง

และนั่นเท่ากับช่องว่างระหว่างรัฐบาลกับประชาชนจะเกิดขึ้นทันที

 

สําหรับรัฐบาลที่ลดเพดานจนการ “ปรับโครงสร้าง” มีความหมายเท่ากับลดราคาตั๋วรถไฟ ภารกิจที่รัฐบาลต้องทำคือทำตามนโยบายเพดานต่ำให้มากที่สุด แต่ปัญหาคือแม้แต่เรื่องนี้รัฐบาลก็ยังทำได้ไม่ครบถ้วนเลย

งบประมาณปี 2567 ผ่านไปโดยไม่มีนโยบายเรือธงประเภทแจกเงินเพื่อให้คนลืมเรื่องผิดคำพูดอยู่ในนั้นเลย แจกเงินหมื่นที่บอกว่าแจกทุกคนทันทีจบด้วยแจกบางคน, รอไปแจกปลายปี 2567 และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ส่วนนโยบายแจกเงินให้ทุกครอบครัวมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 ไม่มีใครพูดถึงเลย

แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างค่าจ้างขั้นต่ำที่บอกว่าปี 2567 จะเป็น 400 การปรับค่าแรงที่เกิดขึ้นจริงคือเพิ่ม 2 บาทจนไม่มีใครได้ค่าจ้างขั้นต่ำถึง 400 และต่อให้ล่าสุดรัฐบาลจะแก้เก้อโดยออกนโยบายค่าจ้างเพิ่มในวันที่ 13 เมษายน ก็ไม่ใช่นโยบายที่คุณเศรษฐา, คุณแพทองธาร ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยเคยบอกประชาชนอยู่ดี

ค่าจ้างขั้นต่ำคือค่าแรงต่ำสุดที่ลูกจ้างทุกคนในทุกกิจการและทุกพื้นที่ต้องได้ไม่ต่ำกว่านั้น เมื่อใดที่รัฐบาลหาเสียงว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 400 บาท เมื่อนั้นหมายความว่าลูกจ้างในทุกธุรกิจและทุกจังหวัดต้องได้ค่าแรง 400 บาทเป็นอย่างน้อย ไม่ใช่อย่างที่รัฐบาลเศรษฐาทำในปัจจุบัน

ด้วยเหลี่ยมมุมด้านการใช้สื่อ รัฐบาลปั่นข่าวให้คนเข้าใจว่าทั้งประเทศได้ค่าแรงขั้นต่ำ 400 ทั้งที่ความจริงคือให้แค่ 10 จังหวัด ยิ่งไปกว่านั้นคือใน 10 จังหวัดก็ให้แค่โรงแรมระดับ 4 ดาวที่มีลูกจ้าง 50 คนขึ้นไป

หรือเท่ากับว่าไม่มีค่าแรงขั้นต่ำ 400 ในอีก 67 จังหวัด และในกิจการที่ไม่ใช่โรงแรม 4 ดาวในสิบจังหวัดนั้นเลย

 

ยุทธศาสตร์รัฐบาลคือแจกแหลกเพื่อให้คนมองแค่ยอดมะพร้าวจนหยุดฝันถึงดวงดาว โลกของเพื่อไทยคือโลกที่เงินทำให้ประชาชนหยุดคิดเรื่อง “ปรับโครงสร้าง” ให้ประเทศดีขึ้น จักรวาลการเมืองที่มีคุณทักษิณเป็นทัพหน้าคือจักรวาลที่จะเดินหน้ายุทธการนี้เพื่อให้คนลืมการตระบัดสัตย์และ “ปรับโครงสร้าง” ไปเลย

ปัญหาของคุณทักษิณและเพื่อไทยคือความไม่เข้าใจว่าสังคมไทยวันนี้ไปไกลกว่าที่คุณทักษิณและเพื่อไทยคิด

คนต้องการความเปลี่ยนแปลงและอยากเห็นรัฐบาลที่สร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่รัฐบาลที่แค่ขึ้นค่าแรงยังเบี้ยวด้วยมุขหลอกเด็กประเภทให้ 400 แค่สิบจังหวัดในบางกิจการ แต่ทำเหมือนให้ทุกคน

ทางออกเดียวของประเทศคือการสร้างรัฐบาลที่ดีในระบอบการเมืองที่ดี ไม่ใช่รัฐบาลที่ให้มองแค่ยอดมะพร้าว ขณะที่ประชาชนฝันถึงดวงดาว

ซ้ำยอดมะพร้าวที่รัฐบาลมองยังเป็นยอดมะพร้าวเก๊ที่ประชาชนเห็นกันทั้งแผ่นดิน