กล้าลุย(ดับ)ไฟ | สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

สถานีคิดเลขที่ 12 | สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

 

กล้าลุย(ดับ)ไฟ

 

การที่นายเศรษฐา ทวีสิน สวมบท The Fireman ลุยเข้าไปดับไฟในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ด้วยการย้าย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ไปช่วยราชการสำนักนายกรัฐมนตรี

และตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเกี่ยวกับความขัดแย้งดังกล่าว

เรียกเสียงสนับสนุนจากสังคมได้อย่างหนักแน่น

พร้อมๆกับการคาดหวังว่า “ผลการสอบสวน”ที่ออกมา

คงจะทำให้ “ข้อกล่าวหาร้ายแรง” ที่บุคคลระดับนำในสำนักงานตำรวจแห่งชาติสาดโคลนใส่กันในเรื่องผลประโยชน์ การคอรัปชั่น จากบ่อนการพนันออนไลน์ กระจ่างขึ้น

และนำไปสู่การสะสางครั้งใหญ่ ในแวดวงตำรวจ

ซึ่งว่าไปแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ ตรงกันข้ามกับเป็นเรื่องซ้ำซาก จำเจ ที่สังคมเรียกร้อง ให้มีการปฏิรูปวงการตำรวจ

โดยที่ผ่านมา มีการตั้งคณะกรรมการมากมายทั้งในระดับหน่วยงาน ไปจนกระทั่งถึงระดับชาติ

แต่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรคืบหน้า

ตรงกันข้าม ปัญหาของตำรวจกลับย่ำแย่ลง และรุกลามไปจนถึง”ระดับนำ”ขององค์กร

เกิดวิกฤตศรัทธาเรื้อรัง จนสังคมแทบจะไร้ความหวังกับการปรับรื้อตำรวจ

นี่จึงเป็นสิ่งท้าทาย นายเศรษฐา ซึ่งนอกจากจะดับไฟอันเป็นเหตุร้ายแรงเฉพาะหน้าไม่ให้ลุกลามแล้ว

การถอนรากถอนโคน สิ่งเลวร้ายในวงการตำรวจ ก็เป็นสิ่งที่ประชาชนคาดหวัง

แม้ว่าจะเป็นการคาดหวังอันริบหรี่ก็ตาม

แต่ประชาชนก็หวังจะแลเห็น “ความกล้าหาญ”ในการแก้ไขปัญหา

กล้าหาญ อย่างที่เรากำลังเห็น การล้างใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกำลังเป็นคู่แข่งและมีแนวโน้มจะแซงหน้าเราไปในหลายเรื่อง

ด้วยเขากล้าที่จะ”ผ่าตัดใหญ่” แม้ว่าจะมีผลสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

แต่เขาก็ยอมรับความจริง และลงมือแก้ไข

เพื่อนบ้านที่ว่า ก็คือ “เวียดนาม”

เมื่อ 20 มีนาคม ที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม แถลงว่า ได้ยอมรับการลาออกของประธานาธิบดีนายหวอ วัน เถือง

ฐานละเมิดกฎของพรรค ที่ส่งผลเสียต่อสาธารณะ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพรรค ต่อรัฐ และต่อตัวเขาเอง

แม้ถ้อยแถลงของรัฐบาลเวียดนามจะไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อบกพร่องของนายเถือง

แต่ก่อนนายเถืองลาออกเพียงไม่กี่วัน ตำรวจเวียดนามได้จับกุมอดีตผู้บริหารจังหวัดกว๋างหงาย ทางตอนกลางของประเทศ เกี่ยวกับข้อหาทุจริตคอรัปชั่นเมื่อ 10 ปีก่อน ซึ่งขณะนั้นนายเถืองดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ในจังหวัดดังกล่าว

นอกจากนี้นายเถืองยังเคยเป็นเจ้าและที่อาวุโสของพรรคในนครโฮจิมินห์ ซึ่งมีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐที่มีการดำเนินการกันมาอย่างยาวนาน โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการพิจารณาคดีครั้งใหญ่

ประเด็นการคอรัปชั่น จึงน่าจะเกี่ยวข้อง กับการลาออกของนายเถือง หลังจากรับตำแหน่ง มาเพียง 1 ปี

ถือเป็น1ใน 4 ตำแหน่งทางการเมืองอันดับต้นของเวียดนาม คือ เลขาธิการพรรค ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานสภาแห่งชาติ ที่ต้องลาออก อันเนื่องมาจากปัญหาการคอรัปชั่น

และนับเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ที่ถูกกดดันให้ลาออกในช่วงปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลเดียวกัน

โดยก่อนหน้านี้ อดีตประธานาธิบดีเหงียน ซวน ฟุก ก็ถูกกดดันให้ลาออกในเดือนมกราคม 2566

จากคดีการคอร์รัปชั่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการในช่วงโควิดของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา

สะท้อนถึงการเอาจริงเอาจังในการปราบคอรัปชั่น ถึงแม้จะเป็น 1 ใน 4 ศุนย์กลางของชาติ

แต่เขาก็กล้าหาญที่จะสะสาง

อยากเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในไทยบ้าง

————————–