ชีวิตหลังจากนี้ของ ‘พิธา’ บวชให้แม่, เลขาฯ ยูเอ็น และ ‘น้องพิพิม’

หมายเหตุ : “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ “ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์” ในรายการ “มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์” ทางช่องยูทูบมติชนทีวี

นอกจากคุยเรื่อง “กระบวนการยุบพรรคก้าวไกล” ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้แล้ว ศิโรตม์ยังชวนพิธาสนทนาถึงประเด็นอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องการเมือง ดังรายละเอียดต่อไปนี้

: ในฐานะที่คุณพิธาก็เป็นคนที่สนใจการเมืองมานาน ก่อนจะเข้าสู่วงการการเมือง คิดว่าตัวเองจะมาถึงจุดนี้ไหม? คือในที่สุดก็กลายเป็นเหยื่อของ “การลอบสังหาร-การประหารชีวิตทางการเมือง” จากเดิมที่ปีที่แล้วพรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง

บริหารความคาดหวังตัวเองไว้แล้ว ผมก็เตรียมตัวมาเป็นนักการเมืองตั้งแต่ (อายุ) 21-22 (ปี) ถามคุณหญิงสุดารัตน์ (เกยุราพันธุ์) ถามพี่เก่ง การุณ (โหสกุล) ถามคุณกึ้ง เฉลิมชัย (มหากิจศิริ) ถามคุณป๊อป อนุดิษฐ์ (นาครทรรพ) ได้ แต่ก่อนตอนที่เขาหาเสียงกัน พรรคพลังประชาชน ผมยังนั่งเอาพวงมาลัยของพี่ปุ่น (ศิธา ทิวารี) ออกมา (จากคอ) เลย

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาทางการเมืองขนาดนั้น

ก็บริหารความคาดหวังกับตัวเองแล้วว่า มันเป็น “วงจรอุบาทว์” ที่เกิดขึ้นเยอะในการเมืองไทย แล้วเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเรา อย่าไปคิดว่า ทำไมมันถึงได้เกิดขึ้นกับเรานะ? เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยทั้งหมด เราต้องสู้เพื่อที่จะไม่ยอมให้สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรา เกิดขึ้นกับคนรุ่นต่อไปต่างหาก เพราะฉะนั้น ไม่มีเวลามาเสียใจ ไม่มีเวลามาฟูมฟาย

แล้วผมก็เตรียมตัว ผมไม่ได้คิดว่าจะอยู่ในการเมืองยาวๆ อยู่สภาเป็นปู่โสมเฝ้าสภา ผมขอแค่สิบปี ผมคิดว่า (จะทำงานการเมืองระหว่างอายุ) 40-50 (ปี) ถ้าผมเกินตรงนั้น ความรู้ผมไม่ทันคนรุ่นใหม่แล้ว สิบปีนี้ ผมทำได้เท่าไหร่ก็คือเท่านั้น

ประเทศไทยไม่ได้ต้องการผมคนเดียว ผมไม่ได้ต้องการการเมืองแบบบุคคลว่า ต้องเป็นเราเท่านั้นถึงจะทำได้ ผมก็ไปทำอย่างอื่นของผมต่อ

ผมก็อยากไปเป็นเลขาฯ ยูเอ็น (เลขาธิการสหประชาชาติ) ต่อ อยากจะเป็นอาจารย์บ้าง อยากไปใช้ชีวิตของผมบ้างอยู่แล้ว ในมุมนั้น ผมก็ยังยิ้มได้ ยังรู้สึกว่าโอเค ก็ทำได้อย่างเต็มที่แล้วในห้าปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรค้างคาใจ ไม่มีอะไรติดใจ แต่ก็น่าเสียดายว่ามัน “เกิดขึ้นเร็วก่อนกำหนด” ไปหน่อย ถ้าอีกห้าปีเดี๋ยวผมก็ไปของผมเองแล้ว ไม่ต้องมาไล่หรอก

: ผมฟังคุณพิธา ผมเห็นภาพคนที่ทำอะไรต่างๆ โดยรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยง แล้วประเมินสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายที่สุดเอาไว้หมดแล้ว แต่ก็ยังทำ

ตัวมันถึงได้เบาไง ถึงรู้สึกว่าอะไรจะเกิด มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราคนแรก แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เขาเกลียดเรา หรือ (ต่อ) ว่าเรา หรือกล่าวหาเราตลอดเวลา ถ้าเกิดเราไปแบกรับไว้หมด มันก็หนัก

แล้วก็ยังมีอะไรรอผมอยู่อีกเยอะ สักวันหนึ่ง ประเทศไทยไม่ต้องการผมแล้ว ผมก็ไปทำตัวให้เป็นประโยชน์ที่อื่นก็ได้ เป็นผู้เล่นไม่ได้แล้ว เขาไม่อนุญาต ก็อาจจะเป็น “เมนทอร์” (ผู้ให้คำปรึกษา) แทน แล้วก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องอยู่ในประเทศไทย

อาจจะทำตัวเป็นลูกที่ดีสักหน่อย ก็อาจจะบวช แม่ก็อยากให้บวชมานาน ผมเองก็ยังสวดมนต์ไม่ได้เก่งอะไรอย่างนั้น แต่ในเชิงการทำสมาธิเจริญสติหรือคอนเซ็ปต์ของศาสนาพุทธในเรื่องความเป็นอนิจจัง ก็ไม่ได้เป็นศิษย์ที่ไร้ครูเสียขนาดนั้น

ก็เคยไปปฏิบัติธรรมกับพระชยสาโร (พระธรรมพัชรญาณมุนี) บ้าง ภูมิใจที่เป็นลูกศิษย์ของท่านสมเด็จฯ เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ (สมเด็จพระมหาธีราจารย์) บ้าง แต่ก็ไม่มีโอกาสได้บวชเสียที ก็อาจจะใช้โอกาสนี้ก็ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงผม

อันที่หนึ่ง ก็คือพรรคยังไปต่อแน่นอน เป็นบทที่สามของหนังสือเล่มใหญ่ ที่พวกเราร่วมขีดเขียนด้วยกัน แล้วตัวผมก็ไม่ได้เสียใจอะไร ก็แค่หมดเส้นทางการเมืองเร็วไปนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นอาชีพที่อยู่ถึง (อายุ) 70-80 (ปี) อยู่แล้ว

แต่ว่าไม่ทิ้งการเมืองแน่นอน ฉะนั้น ใครที่ฟังอยู่ เวลามีการหาเสียง อบจ. มีการหาเสียงเทศบาล หรือผู้ว่าฯ กทม. คุณเห็นพิธาอยู่แน่นอน แต่อย่างที่บอก ผมก็มีความฝันในชีวิตผมที่ยังอยากทำอีกเยอะ

: ในอนาคตอันใกล้ คุณพิธามองโปรเจ็กต์เรื่องความรักในชีวิตตัวเองว่ายังไง? เพราะคุณจะว่างมากขึ้นแล้ว

คําถามยากมาก แต่ตอบได้ภายในสองคำ “พิพิม” (ชื่อลูกสาว)

ผมคิดว่าก็ยังมีความสุขดีกับชีวิตในปัจจุบันและในการดูแลลูกสาว ซึ่งก็จะ (อายุครบ) 8 ขวบวันจันทร์ (18 มีนาคม) นี้ แล้วก็สามารถที่จะเป็นเพื่อนพ่อได้ ไปเล่นโยคะเป็นเพื่อนพ่อได้ ไปเที่ยวอะไรเป็นเพื่อนพ่อได้

จะไม่คิดเรื่องอื่นเท่าไหร่ เพราะคิดว่าชีวิตผมเพียงพอแล้ว ผมพอใจกับชีวิตผม ณ ตอนนี้ในทุกเรื่องแล้ว จนกระทั่งเขา (ลูกสาว) ไม่เอาผม ถ้าเกิดเขาอยากจะไปกับเพื่อน ผมไม่รู้ว่าอายุสักเท่าไหร่กันนะเป็นวัยรุ่น อย่างของเราสัก 13-14 (ปี) เราก็ไม่สนใจพ่อแม่เท่าไหร่ อยากจะไปเที่ยวแล้ว

เพราะฉะนั้น ผมก็คิดว่าผมมีเวลาอยู่กับเขาอีกแค่ 4-5 ปี ก็อาจจะใช้ 4-5 ปีนี้ทุ่มเทกับเขาให้ได้เต็มที่ แล้วเพื่อที่จะให้เขารู้สึกว่า เวลาเขาไม่ต้องการ ผมจะได้ไม่ต้องไปจิกเขาว่า เฮ้ย! มากับพ่อหน่อย

ถึงตอนนั้น ผมจะได้กลับไปสังสรรค์กับเพื่อน (กรุงเทพ) คริสเตียน เพื่อนธรรมศาสตร์ เพื่อนฮาร์วาร์ด เพื่อนที่ทำงานด้วยกัน ไปเล่นกีฬาอย่างที่ผมชอบ ใช้ชีวิตอย่างอื่นแทน เพื่อไม่ให้ตัวผมเป็นภาระกับลูก

ฉะนั้น 3-4 ปีนี้ ความรักในทางส่วนบุคคล ก็คือเอาลูกสาวไว้เป็นที่ตั้ง