ทำไมหนังไทยไปไม่ถึง #ออสการ์ หนังดีๆ ไม่มีคนดูจริงหรือ สนทนากับ ‘บุญส่ง นาคภู่’ ปัญหา-อุปสรรค

บุญส่ง นาคภู่ นักทำหนังอิสระ เจ้าของผลงานภาพยนตร์หลายเรื่องไม่ว่า ธุดงควัตร, วังพิกุล, คนจนผู้ยิ่งใหญ่, เณรกระโดดกำแพง มองวงการหนังไทยว่า 1. คนทำหนังไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อศิลปะ ส่วนใหญ่ตอบสนองโจทย์ตามตลาดและนายทุน คนทำหนังที่แท้จริงเขาจะไม่จมอยู่ตรงนี้ เขาต้องพัฒนาการทำหนังของตัวเองไปเรื่อยๆ

2. อุตสาหกรรมวงการหนังไทยเปรียบเป็น “หมาหางด้วน” คือไล่ตามกระแส เรื่องไหนได้เงินก็แห่ทำเรื่องแบบนั้น ก็นายทุนเหมือนกัน

3. ไม่มีการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ โดยที่คนส่งเสริมก็ไม่เข้าใจ 4. เรื่องของเซ็นเซอร์ซึ่งเป็นเต่าในกระดองมาก บีบอัดจนคนทำหนังไทยไม่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ๆ ได้ จมอยู่ตรงที่ต้องคงความเป็นคนดีมีศีลธรรมเท่านั้น

ความเชื่อที่ว่า ทำหนังดี ไม่มีคนดู?

พูดอย่างนี้ ผมไม่เห็นด้วยนะ ทำหนังดีๆ ไม่มีคนดูนี่ผมไม่เห็นด้วย แปลว่าคุณดูถูกคนดูแปลว่าคนดูโง่ ไม่ฉลาดพอใช่มั้ย ดังนั้นฉันทำแบบนี้ดีกว่าเพื่อเซฟตัวเอง ถ้าคิดอย่างนี้คือทำเพื่อ take ไม่ใช่ give

ศิลปะการทำหนังจำเป็นต้อง give ก่อนแล้วค่อย take คือให้สิ่งที่ดีที่สุด อะไรจะเกิดขึ้นก็เป็นทางบวกอยู่แล้ว วงการหนังไทยดีขึ้นคนทำหนังไทยพัฒนาขึ้นคนดูหนังไทยพัฒนาขึ้น ในภาพรวมพัฒนาขึ้นแน่นอนถ้าเรา give ก่อน

ถ้าคุณไม่ educate เขา โดยคุณไม่เสียสละ ก็จะเหมือนเดิม ที่สุดทุกวงการทุกองคาพยพทั้งละครทีวีซีรีส์ต่างๆ นานาทำเพื่ออะไร เพื่อการค้าหมดทำเพื่อป้อนให้อารมณ์คนดูรู้สึกเหมือนกันหมด แต่ไม่เคยให้ปัญญาคนดูเลย ผมคนหนึ่งนะที่ไม่เชื่อว่าถ้าเราทำหนังดีไปคนดูจะไม่ดู

ผมไม่เชื่อเรื่องนี้

ไม่มีใครกล้าให้ทุน

ก็ยอมรับว่าหนังแบบที่มันเป็นหนังสะท้อนสังคมไม่ค่อยมีคนส่งเสริมหรอกเพราะว่ามันไม่ได้เงินมันไม่ชัวร์ว่าจะได้เงินคืนมา

แต่กระแสสัปเหร่อนี่ทำให้นายทุนงง และเกิดความสั่นสะเทือนทั้งคนทำคนดูทั้งวงการหนังไทยนะ คนที่ชำนาญ Marketing หนังไทยสมัยก่อนชะงักเลยนะ แปลว่ามันยังมีโอกาสอื่นๆ ด้วยนี่ คือล้มทุกทฤษฎีที่เขาเคยเชื่อมาหมดเลย และไม่ใช่ความฟลุก ประเด็นที่ทำมันไปจับจิตจับใจคนดูด้วยมันมีหลายเหตุผล

ทฤษฎีการตลาดหนังไทยส่วนใหญ่ใช้มันไม่ได้แล้ว

ภาวะอนิจจังในวงการหนังไทยที่บางเรื่องได้บางเรื่องไม่ได้ แปลว่าอะไร แปลว่าหนังคุณไม่ดีจริง ไม่สนุกจริงหรือเปล่า คำว่าสนุกของคุณคืออะไรหัวเราะอย่างเดียว? มันก็ต้องมาตั้งนิยามความสนุกกันใหม่แปลว่ากลับสู่เบสิกเลยหนังคืออะไร คือความสนุก? คือบทที่ดี? แล้วมันเป็นยังไง

โทษนายทุนอย่างเดียวไม่ได้ โทษคนดูไม่ได้เลยคนดูไม่มีสิทธิโทษเขา

คุณมีสิทธิเดียวคือต้องพัฒนาคนดู

 

บุญส่ง นาคภู่ คือใคร

ผมเป็นคนทำหนังที่ไม่กระแดะจะอาร์ตนะ ผมเป็นคนทำหนังที่ไม่ใช่เป็นแบบฉาบฉวยเอาประโยชน์จากคนดูอย่างเดียว ผมเป็นคนทำหนังประเภทเป็นคนทำหนังตัวเล็กๆ เป็นคนทำหนังอิสระ ยืนหยัดในจุดยืนตัวเองคือหนังผมต้องเป็นประโยชน์กับสังคมเป็นประโยชน์กับคนดู ต้องทำให้คนดูจิตใจดีขึ้น ต้องทำให้สังคมดีขึ้น ต้องสร้างโลกใบนี้ที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นหลัง ผมมีจุดอยู่แบบนี้และผมจะไม่ทำหนังที่บ่อนทำลายวงการหนังไทย อันนี้คือบุญส่ง นาคภู่

แต่บุญส่งไม่สามารถเล่าเรื่องคนรวยได้เข้าใจมั้ยครับ ผมเป็นลูกชาวบ้าน เคยบวชมาก่อนเป็นสิบปีเป็นมหาบุญส่ง

เราจะไม่กระแดะเป็นอาร์ตเพราะว่าเราทำเพื่อให้คนดูเข้าถึง หนังอาร์ตคืออะไรผมรู้จักอยู่แล้วแต่ผมเลือกที่จะทำแบบนี้เพื่อให้คนดูเข้าถึงความจริงอะไรบางอย่างแล้วเปลี่ยนแปลงทั้งจิตใจและพฤติกรรมมันต้องเป็นประโยชน์ นี่คือจุดยืนผม และผมมีเรื่องราวให้ทำเต็มไปหมด

ประเทศนี้เป็นประเทศแห่งเรื่องราว ผมมีเรื่องเล่ามากมาย จนจะทำไม่ทันแล้ว อุปสรรคเดียวของผมตอนนี้ไม่ใช่เงินทุนในการทำหนัง แต่คือเรี่ยวแรงสังขารตอนนี้อุปสรรคผมคือสังขารเจ็บเข่า เริ่มแก่แล้วแต่เรายังมี 40 โปรเจ็กต์ในสต๊อกที่ทำไม่ทันแล้ว

ผมต้องหาวิธีการทำหนังแบบใหม่ๆ คือไม่ต้องรอทุนครับมีกล้องตัวหนึ่งมีเลนส์ 3 ตัวทำหนังได้เลย ผมเข้าใจกระบวนการหมด ทำทั้งแอ๊กติ้ง เขียนบท กำกับฯ แล้วผมก็เคยสอนแล้ว มีหลักการเรามีครู

เราไม่ต้องรอทุนเพราะว่าการรอทุนอาจจะตายก่อน วิธีการทำหนังพวกนี้มันง่ายหมดแล้วเราอย่าคิดรอทุน การรอทุนเป็นความเชย มีโน้ตบุ๊กตัวหนึ่ง ฮาร์ดดิสก์ กล้องเลนส์ 2 ตัว ไมค์บูมตัวหนึ่งหรือไมค์หัวกล้องตัวหนึ่งดีๆ ก็จบแล้ว กล้องมันตัวเล็กนิดเดียวความละเอียดสูง

ผมมีความเชื่อว่าเวลา 24 ชั่วโมงเป็นของผมไม่เป็นของใคร

ผมเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแล้วผมก็ลาออกเพราะรู้สึกเวลาผมไม่ใช่ ตัดสินใจลาออกเลิกผูกขาดเพราะผมเชื่อมั่นว่าชีวิตนี้ไม่มั่นคงอยู่แล้วไม่มีความมั่นคงในโลกนี้ ดังนั้น เราต้องจัดการเวลา เพราะชีวิตเราสั้นผมมีเวลา 24 ชั่วโมงผมหายใจเป็นหนัง ผมทำหนังตลอดตั้งแต่ตื่นมายันนอนเลยนะ เขียนบทคิดบททำนั่นทำนี่ถ่ายตลอดศึกษาตลอดเวลา ผมไม่หยุดเลย

ลมหายใจผม 24 ชั่วโมงเป็นหนัง นอนสัก 5 ชั่วโมง 6 ชั่วโมงตื่นมาก็ทำหนัง อยากทำก็ทำเลยไม่รอคือถ้าผมมีแรงผมทำ 4-5 เรื่องนะ ยิ่งไม่มีตังค์ ยิ่งใช้แรงเยอะมาก

 

หนังของ “บุญส่ง”
“แตกต่าง” จาก “คนอื่นๆ” อย่างไร

คือผมสามารถหยิบเรื่องทุกเรื่องมาทำเป็นหนังได้หมด ความแตกต่างในเชิงภาพยนตร์มันก็ไม่มีความแตกต่างหรอกก็คือทำกระบวนการเดียวกัน แต่ความแตกต่างนี้คือประเด็นที่ผมหยิบมาเล่า

ผมมีสไตล์เฉพาะตัว เคยมีคนบอกผมว่าหนังผมคือ หนังพูดน้อยๆ มีจังหวะตัดแบบเฉพาะตัว เล่าเรื่องคนตัวเล็ก อะไรทำนองนี้ เราก็มีชั้นเชิง มีมวยของเรา ถ้าเราซื่อสัตย์กับตัวเองเราก็จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ถ้าเราหยุดคือเราก็ถอยหลัง เราไม่ทันคนรุ่นใหม่ ดังนั้น ผมจะไม่หยุดเรียนรู้ไม่หยุดทำหนังและจะทำให้หนังทุกเรื่องต้องดีกว่าเดิม ก็ไม่ซ้ำเดิมแน่นอน

ผมชอบเล่าชีวิตคนธรรมดาคนตัวเล็กๆ ผมอยากทำหนังชีวิตวัฒน์ วรรลยางกูร ผมคิดชื่อว่า หนังชีวิตนักเขียนคนหนึ่ง ถากไม้เหมือนหมาเลีย เอามาจากชื่อเรื่องสั้นของเขา จะทำเกี่ยวกับนักเขียนคนหนึ่งที่พยายามเป็นนักเขียนที่ดีในประเทศเส็งเคร็งแล้วก็เลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวอย่างลำบากลำบน สุดท้ายก็ถูกลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสตายอย่างเดียวดาย

ผมมีเรื่องให้ทำเต็มไปหมด และประเทศนี้เรื่องราวเยอะไปหมด แค่วันนี้ผมไม่มีแรงเท่านั้นเอง ผมสามารถหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายได้เลยจริงๆ คิดบท 2 วันเสร็จ เราฝึกมานาน

เราสอนเขียนบทเราเป็นนักแสดงเราเป็นนักเขียนบทผู้กำกับฯ เราเขียนบทเรามีครู เรามีองค์ความรู้ที่เราสามารถคิดได้ทันที

 

หนังไทยจำเป็นต้องไปออสการ์?

ถ้าไปได้ ก็ไป ถ้าไปได้ก็ดีจะทำให้ประเทศนี้มีต่างชาติยอมรับว่านี่เป็นประเทศพัฒนาแล้วสามารถทำหนังระดับออสการ์ได้

แต่จริงๆ แล้วเส้นทางออสการ์ไม่ง่ายมันเป็นเกมการเมือง ประเทศต้องหนุนอย่างสูงที่สุด ถึงจะไปออสการ์ได้

แปลว่าคนที่หนุนคือรัฐบาลไทยหรือเอกชนต้องจับมือกันหนุนวงการหนังนี้จริงๆ เพื่อไปถึงระดับออสการ์ได้

ถ้าคุณทำแบบคัดเลือกหนังอะไรก็ได้ ไม่มีทางไปได้

คุณภาพหนัง ทักษะฝีมือต้องถึงต้องเข้าใจหนังถึงที่สุดเลย กำกับฯ ต้องถึงเล่าเรื่องต้องถึง

คอนเทนต์คุณต้องถึง “ความเป็นมนุษย์” ประเด็นคุณต้องแรงพอ โลกต้องสะเทือน ถ้าคุณไม่กล้าแตะอะไร แล้วคุณจะไปได้ยังไง ไปไม่ถึงหรอก นึกออกมั้ย ถ้าทำได้ก็ดี ดีกันหมด

แต่ว่ายากนะครับจริงๆ แล้ว

ชมคลิป