ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15 - 21 มีนาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฝนไม่ถึงดิน |
ผู้เขียน | ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี |
เผยแพร่ |
ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานถูกนำเสนอในสภา
มีรายละเอียดสำคัญคือ การลดเวลาการทำงานตามกฎหมาย จาก 48 ชั่วโมงให้เหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
การปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ-การเติบโตทางเศรษฐกิจ
การห้ามเลือกปฏิบัติไม่ว่าด้วยเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ทัศนะทางการเมือง
การวางเงื่อนไขที่ลดการจ้างงานแบบรายวันเพื่อมุ่งสู่การจ้างงานรายเดือน
มีห้องให้นมบุตร ลาดูแลคนในครอบครัว และวันพักผ่อนประจำปี ฯลฯ
กฎหมายนี้ถูกเสนอแยกกับร่างกฎหมายที่เป็นพระราชบัญญัติการเงิน ซึ่งมีประเด็นคือ การเพิ่มวันลาคลอด 180 วัน และการขยายการคุ้มครองแรงงานภาครัฐ ซึ่งเป็นเรื่องของร่างทางการเงินที่ต้องได้รับการอนุมัติจากนายกรัฐมนตรี
ผมได้มีโอกาสให้ความเห็นในคอลัมน์นี้หลายครั้งในประเด็นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและทางสังคมต่อข้อเสนอทั้งหลายเหล่านี้
ในบทความนี้ผมจะพิจารณาเฉพาะประเด็นทางการเมือง เพื่อตอบข้อสงสัยว่าเหตุใด พ.ร.บ. “ทำงาน พักผ่อน ใช้ชีวิต” ถึงไม่ผ่าน ถูกคว่ำกลางสภา
พระราชบัญญัติฉบับ “ทำงาน พักผ่อน ใช้ชีวิต” ไม่ใช่ของใหม่ ได้รับการยื่นตั้งแต่ช่วงระหว่างปี 2562-2566 อันล้อกับนโยบายหาเสียงของพรรคอนาคตใหม่ เสนอโดย ส.ส.สุเทพ อู่อ้น ประธานกรรมาธิการการแรงงาน
โดยการยื่นได้รวมทุกข้อเสนอไว้ในร่างเดียวกัน ซึ่งทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้นสามารถใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญในการตีตกร่างที่เกี่ยวข้องกับการเงินได้ จะว่าไปแล้วภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีกฎหมายที่ผ่านเข้าสู่การอภิปรายในสภาอย่างจำกัดมาก
โดยในปี 2567 พรรคก้าวไกลทำการแยกยื่นสองฉบับเพื่อป้องกันข้อเสนอที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงินถูกตีตกไปด้วย
ซึ่งในฐานะคนที่ติดตามประเด็นด้านแรงงานมาอย่างต่อเนื่องต้องกล่าวว่า จริงๆ แล้ว ร่าง “ทำงาน พักผ่อน ใช้ชีวิต” เป็นข้อเสนอที่ไม่ได้ท้าทายต่อโครงสร้างผลประโยชน์ของชนชั้นนำอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับร่างข้อเสนออื่นๆ ของทางพรรคก้าวไกล ซึ่งอาจจะต้องปะทะกับเครือข่ายชนชั้นนำและผลประโยชน์ รวมถึงกระบวนการจัดสรรทรัพยากร
แต่กรณีนี้เราจะพบว่า ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้ต้องจัดสรรทรัพยากรเพิ่มแต่อย่างใด
หรือแม้แต่กับกลุ่มผู้ประกอบการ ก็มีเพียงส่วนน้อยมากที่จะได้รับผลกระทบทางต้นทุน เพราะเป็นเพียงมาตรฐานขั้นต่ำ ที่หลายแห่งก็ก้าวผ่านจุดนี้ไปแล้ว
การลาดูแลคนในครอบครัว ลาพักผ่อน หรือการเลือกปฏิบัติก็เป็นแนวทางใหม่ๆ ที่เป็นกระบวนการการปรับความเข้าใจมากกว่า การกระทบกับต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ
ในทางเทคนิคมันจึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจไม่น้อย เพราะข้อเสนอเหล่านี้น่าจะอย่างน้อยผ่านวาระหนึ่งได้ และสามารถนำสู่การถกเถียงในชั้นต่อไป
การปฏิเสธข้อเสนอพื้นฐาน อย่างเรื่องคุณภาพชีวิตของคนวัยทำงาน ในทางการเมืองจึงไม่ใช่เรื่องที่พึงทำ เพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อความนิยมทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการเมืองฝ่ายใด
และเมื่อพิจารณาในด้านนี้ จึงน่าแปลกใจที่พรรครัฐบาลนำโดย พรรคเพื่อไทยตัดสินใจโหวตคว่ำ พ.ร.บ. “ทำงาน พักผ่อน ใช้ชีวิต” ในสภา
และเมื่อพิจารณาถึงเหตุผลที่นำมาอภิปรายก็ไม่มีเหตุผลที่ชัดแจ้งแต่อย่างใด
ส.ส.บางท่านของพรรคเพื่อไทยก็ยังให้ความเห็นในทางสนับสนุนต่อคุณภาพชีวิตแรงงานด้วยซ้ำ
แต่ในทางการเมือง เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะอย่าลืมว่า ณ ปัจจุบัน พรรคก้าวไกล ได้ขยับสู่การเป็นคู่แข่งทางการเมืองหลักของทางพรรคเพื่อไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเอง ยังไม่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารงานมามากกว่าครึ่งปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย ดิจิทัลวอลเล็ต หรือการขยับนโยบายซอฟต์เพาเวอร์ ที่ดูจะไม่เห็นความสำเร็จที่ชัดเจน
แม้แต่นโยบายที่ดูจะเป็นรูปธรรมในกระทรวงสาธารณสุขที่ดูจะคืบหน้ามากกว่ากระทรวงอื่น ก็ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่ยังไม่สมบูรณ์
ขณะที่นอกสภาแม้พรรคก้าวไกลจะผ่านมรสุมหลายด้าน แต่ความนิยมในทางสังคมก็ยังติดลมบน สวนทางกับทางพรรคเพื่อไทย ที่ยังคอยจังหวะความสำเร็จทางนโยบายที่เป็นรูปธรรม
ในด้านนี้ มีเหตุผลอะไรที่พรรคเพื่อไทยจะปล่อยให้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านเพื่อให้ทางพรรคก้าวไกลมีโอกาสสะสมความนิยมให้มากขึ้น
แม้จะเสี่ยงต่อการถูกวิพากษ์วิจารณาจากขบวนการแรงงาน แต่ทางรัฐบาลก็ปล่อยให้ พ.ร.บ.ฉบับการเงิน ที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทย ที่มีประเด็นถกเถียงมากกว่า ผ่านคู่กันกับอีกร่างของพรรคก้าวไกล ในประเด็นข้อถกเถียงการคุ้มครองแรงงานภาครัฐ และการลาคลอด 98วัน หรือ 180 วัน
ซึ่งการผ่านประเด็นนี้ก็กลายเป็นประเด็นที่น่าแปลกใจเหมือนกัน เพราะเคยเป็นประเด็นที่เคยถูกตีตกมาก่อน
พรรคเพื่อไทยลดแรงเสียดทานต่อประเด็นนี้โดยการพยายามดึงภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนประเด็นเรื่องแรงงานและสวัสดิการเป็นตัวแทนในกรรมาธิการวิสามัญ ถือว่าเป็นการพยายามแก้เกม
ขณะที่ทางพรรคก้าวไกลต้องยอมรับความผิดพลาดทางการเมืองที่ประเมินประเด็นนี้พลาดไป
เพราะหากพรรครัฐบาลมีประเด็นร่างที่ใกล้เคียงกันเสนอเข้าไป อาจจะผ่านวาระหนึ่งได้
สะท้อนว่า พรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ไม่ได้มีการหารือในประเด็นแรงงานที่น่าจะเป็นประเด็นร่วมกัน
เอาเป็นว่า พ.ร.บ. “ทำงาน พักผ่อน ใช้ชีวิต” ตกไปด้วยเหตุผลทางการเมือง
แต่สำหรับผู้ผลักดันประเด็นทางแรงงาน การที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้กลายเป็นตัวกลางของการวัดพลังอำนาจทางการเมือง เพราะพรรคก้าวไกลซึ่งมีคะแนนนิยมในเมืองอุตสาหกรรมหลายแห่งมีโอกาสสะสมความนิยม ถูกปฏิเสธไป อาจจะเป็นข้ออ้างให้การผลักดันประเด็นเหล่านี้ยากลำบากต่อไปในอนาคต
การลดชั่วโมงการทำงาน เพิ่มวันลา จ้างงานรายเดือน ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ยาวนานของขบวนการ อาจถูกเลื่อนวาระออกไปอย่างไม่มีกำหนด
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022