ใจจดจ่อ เฝ้ารอ AI จาก Apple | จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

ภายในระยะเวลาไม่กี่ปี คำว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์ได้กลายเป็นคำที่บริษัทเทคโนโลยีทุกแห่งใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น Google Meta Microsoft หรือ Amazon ต่างก็พยายามโปรโมตสินค้าและบริการของตัวเองที่ใช้เทคโนโลยี AI และพร้อมใจกันนิยามตัวเองว่าเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ AI เป็นลำดับแรกๆ

มีอยู่แค่บริษัทเดียวเท่านั้นที่เงียบกริบ และเราแทบไม่เคยได้ยินคำว่า AI หลุดออกมาเลย ซึ่งก็คือ Apple นั่นเอง

Apple แทบจะเป็นบริษัทเดียวที่ไม่เคยพูดถึง AI หรือหากจะพูดถึงเทคโนโลยีนี้ก็จะเลี่ยงไปใช้คำอื่นแทนซึ่งบริษัททำแบบนี้มาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งการเปิดตัวคอมพิวเตอร์ M3 MacBook Air เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมาที่ Apple เรียก MacBook Air รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวใหม่ว่าเป็น ‘แล็บท็อประดับผู้ใช้ทั่วไปที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ AI’

นับเป็นการใช้คำว่า AI เข้ามาผูกกับฮาร์ดแวร์ของตัวเองเป็นครั้งแรก

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทำให้ผู้ใช้งานคาดหวังกันไปว่าเมื่อ Apple เปิดตัวระบบปฏิบัติการใหม่ iOS 18 และ macOS 15 ช่วงกลางปีนี้ เราน่าจะได้เห็นฟีเจอร์ที่เป็น AI ถูกผนวกรวมเข้าไปอยู่ในแอพพ์และบริการต่างๆ ใน iPhone และคอมพิวเตอร์ Mac ด้วยแน่นอน

และขึ้นชื่อว่า Apple ก็น่าจะมีรายละเอียดของ AI ในแบบที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น ซึ่ง Fast Company คาดการณ์เอาไว้ว่าน่าจะมาใน 2 รูปแบบ คือ Gen AI ที่ฝังอยู่ในฟีเจอร์ต่างๆ และ AI Chatbot ที่จะประมวลผลในเครื่องเลยแบบส่งขึ้นคลาวด์

 

Gen AI ได้รับความนิยมแพร่หลายขั้นสุดนับตั้งแต่ ChatGPT เปิดให้ผู้คนทั่วไปสามารถใช้งานได้ หลังจากนั้นก็ตามมาด้วย Gen AI ของอีกหลากหลายค่าย ซึ่ง Gen AI ก็คือปัญญาประดิษฐ์ที่เราสามารถสั่งการได้ด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์เป็นข้อความหรือการใช้เสียงของเราก็ตาม

สิ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันก็คือ หาก Apple จะผนวกรวม Gen AI เข้าไปอยู่ในเซอร์วิสของตัวเอง สิ่งที่สามารถทำได้และควรต้องทำอย่างเร่งด่วนก็คือการทำให้ผู้ช่วยส่วนตัวสั่งการด้วยเสียง Siri เก่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เสียที!

ผู้ใช้งานอุปกรณ์ของ Apple รู้กันเป็นอย่างดีว่าหากเปรียบเทียบกับผู้ช่วยส่วนตัวของค่ายอื่นแล้ว Siri นับว่าตามหลังคนอื่นไกลลิบ

Siri ที่มีอายุมานานกว่า 10 ปีแล้วยังคงเข้าใจคำสั่งผิดอยู่บ่อยครั้ง และไม่สามารถให้คำตอบหรือช่วยผู้ใช้งานทำงานได้อย่างถูกต้อง สร้างความหงุดหงิดใจให้กับผู้ใช้อุปกรณ์ Apple มาโดยตลอด

ดังนั้น ทุกคนจึงเชื่อว่าได้เวลาแล้วที่ Apple จะประกาศเปิดตัว Siri โฉมใหม่ที่จะเก่งกาจขึ้นกว่าเก่า สามารถพูดคุยสนทนาต่อเนื่องได้แบบไม่ต้องทวนเรื่องเดิมซ้ำ และจะสามารถสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้ตรงจุดเสียที

 

นอกจาก Siri ที่เก่งขึ้นแล้วก็ยังมีการคาดการณ์ว่า AI จะถูกนำไปใช้เพิ่มเติมอีกหลายด้าน ทั้งการช่วยงานด้านเอกสาร อีเมล การช่วยสรุปเอกสารยาวๆ ให้เหลือเพียงย่อหน้าสั้นๆ ที่เราอ่านเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ไปจนถึงการใช้ AI มาช่วยปรับแต่งและตัดต่อภาพ ลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพ หรือช่วยให้การตัดต่อวิดีโอทำได้สวยและมีชั้นเชิงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฟีเจอร์ AI ที่ค่ายคู่แข่งได้เปิดตัวไปแล้ว ดังนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ที่น่าตื่นเต้น แต่สิ่งที่น่าจะนับเป็นนวัตกรรมและสร้างความประทับใจให้ก็คือคาดกันว่า AI Chatbot ของ Apple นี้จะอยู่ในเครื่องเพียงอย่างเดียวเท่านั้นโดยจะไม่ส่งข้อมูลขึ้นไปประมวลผลบนคลาวด์เลย

ในปัจจุบัน AI Chatbot ของค่ายต่างๆ ล้วนอาศัยอยู่บนคลาวด์ทั้งหมด เมื่อเราสั่งการไป คำสั่งเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกประมวลผลอยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟนของเราแต่จะถูกส่งไปประมวลผลที่เซิร์ฟเวอร์ของบริษัทแล้วจึงส่งคำตอบกลับมาให้เรา

ข้อดีของการส่งข้อมูลไปประมวลผลบนคลาวด์คือไม่ต้องพึ่งพาอาศัยพลังประมวลผลของเครื่องเราเองที่อาจจะมีไม่พอ ทำให้คนเข้าถึงการใช้งาน AI ได้มากขึ้น

แต่ข้อเสียของการส่งข้อมูลออกไปก็คือเราต้องรอนานขึ้นกว่าจะได้คำตอบกลับมา และเราไม่รู้ว่าข้อมูลที่ส่งออกไปนั้นถูกนำไปเก็บไว้ที่ไหนหรือมีใครหยิบฉวยข้อมูลไปทำอะไรต่อหรือเปล่า

Apple ให้ความสำคัญกับเรื่องการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานมาก และจากรายงานที่มีการเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ก็พอจะทำให้คาดเดาไปได้ว่า AI Chatbot ของ Apple จะอยู่ภายในดีไวซ์อย่าง iPhone หรือ Mac เท่านั้น แปลว่าเราจะไม่จำเป็นต้องส่งข้อมูลส่วนตัวของเรา อย่างเช่น ข้อมูลสุขภาพหรือภาพถ่ายของเราออกไปที่เซิร์ฟเวอร์ของ Apple เลย ทั้งหมดจะถูกประมวลผลและเก็บเอาไว้อย่างปลอดภัยอยู่ในเครื่องของเราที่เดียว

หากเป็นไปตามนี้จริง สิ่งที่ AI ของ Apple จะสร้างความแตกต่างได้คือการทำงานควบคู่กับชิพที่ทรงพลังในขณะที่ปกปักษ์รักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ไว้ได้ด้วย

ในที่สุดก็จะเป็นการกดดันทางอ้อมให้บริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ต้องทำแบบเดียวกัน

 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่ว่าอุปกรณ์ Apple ที่เราใช้อยู่จะไม่มี AI เลยนะคะ iPhone เองก็มีหลายฟีเจอร์ที่ใช้ AI อยู่แล้วแต่เราอาจจะไม่ทันได้สังเกต อย่างเช่น ฟีเจอร์การโคลนเสียงที่เราสามารถให้ iPhone เรียนรู้เสียงของเราเพื่อสร้างเสียงดิจิทัลมาใช้แทนเสียงจริงของเราได้ ฟีเจอร์นี้เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่รู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเสียงไปในอนาคตข้างหน้า iPhone จะให้ผู้ใช้งานอ่านประโยคต่างๆ ที่กำหนดมาให้ จากนั้นก็จะใช้ AI วิเคราะห์และสร้างเสียงสังเคราะห์ของผู้ใช้คนนั้นๆ ขึ้นมาใหม่

ฟีเจอร์ใช้ AI อย่างอื่นก็เช่นการคัดลอกข้อความจากภาพถ่าย ที่ช่วยให้เราสามารถดึงข้อความตัวอักษรออกมาจากภาพได้เลยโดยที่ไม่ต้องพิมพ์ใหม่

ฟีเจอร์ AutoCorrect หรือการแก้คำอัตโนมัติที่ได้รับการพัฒนาให้แม่นยำและเก่งกาจขึ้นโดยใช้ AI เข้ามาช่วย ไปจนถึงการถ่ายภาพบุคคลที่ AI จะแยกระหว่างวัตถุกับพื้นหลังเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์หน้าชัดหลังเบลอที่สวยงามขึ้น

ต่อจากนี้ Siri จะฉลาดขึ้นแค่ไหน AI ใน iPhone และ Mac จะมาในรูปแบบใดและทำอะไรได้บ้าง ก็ต้องรอติดตามความคืบหน้าจากงาน WWDC ที่จะมีขึ้นในเดือนมิถุนายนนี้ค่ะ