ป.ป.ช.รับคดีเว็บพนัน ‘มินนี่’ ต่อลมหายใจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เส้นทาง ผบ.ตร.คนที่ 15 ไม่สดใส

ในที่สุด ป.ป.ช.รับคดีที่กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 (บก.สอท.1) ส่งเรื่องมาร้องทุกข์กล่าวโทษ 5 นายตำรวจ มี 1.พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หรือ “บิ๊กโจ๊ก” 2.พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ ข้าราชการบำนาญ 3.พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม. 4.พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี และ 5.ส.ต.อ.ณัฐนันท์ ชูจักร ผบ.หมู่ สายตรวจ 3 บก.จร.บช.น. มีส่วนเกี่ยวพันกับคดีพนันออนไลน์ “มินนี่” ไว้ดำเนินการไต่สวนตามขั้นตอนทางกฎหมาย

โดยลำดับ 1, 3-5 ตั้งข้อกล่าวหาว่า เป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ หรือกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ในตำแหน่งไม่ว่าการนี้จะชอบหรือมิชอบในหน้าที่

เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นเจ้าพนักงานสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้กระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่มีการสมคบกัน

ร่วมกันฟอกเงิน และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้อื่น นอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายฯ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วบการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 128, 172 ป.อาญามาตรา 149, 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(9), 5(1) (2) (3), 9 วรรคสอง, 10, 11 ประกอบกับ ป.อาญา มาตรา 83

ส่วนลำดับ 2 กล่าวหาว่า สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้กระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน และสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

ตาม ป.อาญา มาตรา 86, 157 และ พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(9), 5(1) (2), 9 วรรรคสอง ประกอบ ป.อาญา มาตรา 83

 

มีข่าวสะพัดว่ามติ ป.ป.ช.ที่ออกมา 4 ต่อ 1 นั้น มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ, นางสุวณา สุวรรณจูฑะ, นายวิทยา อาคมพิทักษ์ และนายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ให้เก็บสำนวนคดีไว้ดำเนินการเอง

ส่วนนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข เป็นเสียงข้างน้อยให้คืนสำนวนตำรวจไปสอบสวนเพื่อขยายผลทางคดี

ต่อมานายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ให้เหตุผลว่า ผู้ถูกกล่าวหามีตำแหน่งระดับสูงกว่าระดับผู้อำนวยการ รวมทั้งการถูกกล่าวหาเป็นความผิดประเภทร้ายแรง อยู่ในอำนาจหน้าที่ ป.ป.ช. ที่สมควรต้องดำเนินการเอง

นอกจากนี้ ยังเรียกสำนวนคดีอาญาที่ 724/2566 บก.สอท.1 ที่พนักงานสอบสวน มีความเห็นทางคดีสมควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา 14 คน มี น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือ “มินนี่” และ 8 นายตำรวจลูกน้องบิ๊กโจ๊ก รวมอยู่กลับมาพิจารณาด้วย เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน

“ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเรื่องนี้อยู่ในหน้าที่ ป.ป.ช. ตามข้อกฎหมาย ป.ป.ช.ต้องรับสำนวน เพราะเขาบอกว่าให้ ป.ป.ช.ทำเรื่องร้ายแรง รายงานเพิ่มเติมปรากฏว่าพบผู้ต้องหาเพิ่มเป็นระดับ รอง ผบ.ตร. ประกอบกับข้อกล่าวหาร้ายแรง รวมทั้งบอกว่ามีบัญชีม้า วงเงิน 200-300 ล้าน” นายนิวัติไชยระบุ

ส่วนกรอบเวลานั้น เลขาธิการ ป.ป.ช.ระบุว่า ต้องดูข้อมูลก่อนว่าตำรวจมีหลักฐานชัดเจนหรือไม่ หากชัดเจนเพียงพอก็สามารถแจ้งข้อกล่าวหาได้ แต่ในส่วนของกรอบเวลาการไต่สวน คณะกรรมการไต่สวนจะทำให้แล้วเสร็จตามกฎหมาย 2 ปี แต่โดยหลัก ป.ป.ช.จะทำให้เสร็จภายใน 1 ปี

 

ผลการพิจารณา ป.ป.ช.เข้าทาง “บิ๊กโจ๊ก” จับน้ำเสียงเคยแถลงว่า ป.ป.ช.เป็นหน่วยงานตรวจสอบทุจริตโดยตรง เป็นระบบไต่สวนรอบคอบกว่าระบบกล่าวหาของตำรวจ ในการพิจารณาของศาลมีระเบียบว่าให้ถือสำนวนที่ ป.ป.ช.ไต่สวนเป็นหลัก เพราะมีความน่าเชื่อถือ

พร้อมสอนมวยว่า “การที่บอกว่าส่งเรื่องผมไป ป.ป.ช.ทั้งหมด เปรียบเทียบเหมือนบัตรสนเท่ห์ หรือใบปลิว หรือการร้องเรียนไป ป.ป.ช. ไม่ใช่ว่า ป.ป.ช.จะรับเลย ต้องตรวจสอบก่อนว่ามีมูลหรือเปล่า ถ้าไม่มีมูลเพียงพอ ก็ไม่รับตีตกไป ถ้ามีมูลเบี้องต้นก็ต้องแสวงหาข้อเท็จจริง แล้วถ้ามีมูลถึงจะเริ่มตั้งไต่สวนถึงจะแจ้งข้อกล่าวหา หากแจ้งข้อกล่าวหา ตามกฎหมาย ป.ป.ช.ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จะเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ก็เมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูล กระบวนการรอบคอบมากกว่า ป.ป.ช.คงคิดว่าตำรวจทะเลาะกันเอง เขาไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของตำรวจหรอก เพราะเขาเป็นหน่วยงานที่ผดุงความยุติธรรม ตรวจสอบการทุจริตโดยตรง วันนี้ผมยังเป็นผู้บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม”

ถ้าพิจารณากันแล้ว คดีของบิ๊กโจ๊กอยู่ในการพิจารณา ป.ป.ช. ทำให้เจ้าตัวมีความเชื่อมั่นมากขึ้น และยังเป็นการยืดเวลาไม่บีบรัดเหมือนสำนวนอยู่ในมือตำรวจด้วยกัน

แต่ขณะเดียวกันถูกมองว่าเส้นทางสู่ ผบ.ตร.คนที่ 15 ไม่ได้สดใสแล้ว แม้ว่าจะเป็นแคนดิเดตอาวุโสอันดับ 1 เพราะมีคดีคาราคาซังอยู่ อีกทั้งถ้าเป็นชอยส์ที่ถูกเลือก จะยิ่งตอกลิ่มความแตกแยกในกรมปทุมวันขึ้นไปอีก

ถึงแม้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีหยิบชื่อรอง ผบ.ตร. หรือจเรตำรวจแห่งชาติ เสนอให้ที่ประชุม ก.ตร.พิจารณาลงมติเป็น ผบ.ตร.โดยยึดหลักคุณธรรมและหลักอาวุโส ตามเจตนารมณ์กฎหมาย ยกเว้นที่ผ่านมาล่าสุดไม่ได้เป็นไปตามนั้น

 

ดังนั้น ถ้าพิจารณาแคนดิเดต ผบ.ตร.ตอนนี้

อันดับ 1 “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ นรต.47 เกษียณปี 2574

2. “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. นรต.41 คนสนิท “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.คนที่ 12 เกษียณปี 2569

3. พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง จเรตำรวจแห่งชาติ นรต.39 เกษียณปี 2568 ทราบกันว่าได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษ

และ 4. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. นรต.42 สายตรง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เกษียณปี 2569

ดูเหมือนว่า “บิ๊กต่าย” จะดูสดใสกาววาวที่สุด