ฮามาส-อิสราเอล ความขัดแย้งครั้งที่ 5 (20)

จรัญ มะลูลีม

มุมมุสลิม | จรัญ มะลูลีม

 

ฮามาส-อิสราเอล

ความขัดแย้งครั้งที่ 5 (20)

 

ฉากทัศน์ของสงครามฮามาส-อิสราเอล (ต่อ)

อิสราเอลไม่มีสิทธิ์

สังหารพลเรือนชาวปาเลสไตน์

โดยไม่มีขีดจำกัด

มหฎิร (มหาธีร์) โมฮัมมัด

: อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย

การโจมตีทางทหารของอิสราเอลต่อฉนวนกาซาเป็นการตอบโต้ที่ไม่สมส่วน และความขัดแย้งสามารถระงับได้ด้วยการเจรจากับกลุ่มฮามาสและการดำเนินการตามแนวทางแก้ไขแบบสองรัฐ (Two State Solution) เท่านั้น อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซียกล่าวกับอาหรับนิวส์

รัฐบุรุษผู้มีประสบการณ์รายนี้ (ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างปี 1981 ถึง 2003 และระหว่างปี 2018 ถึง 2020 ทำให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศ) เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนอย่างแข็งขันต่อสิทธิแห่งชาติปาเลสไตน์มายาวนาน

เมื่อเปรียบเทียบกับนักบะฮ์ (Nakba) หรือ “ภัยพิบัติ” หรือความอาดูรสูญสิ้น ในปี 1948 ซึ่งส่งผลให้เกิดรัฐอิสราเอลและการยึดครองชาวปาเลสไตน์หลายล้านคน มหฎิรเชื่อว่าความขัดแย้งในฉนวนกาซาในปัจจุบันเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่กว่าและคล้ายคลึงกับการทำลายล้างมากกว่า

“นี่มันแย่กว่านักบะฮ์ครั้งก่อนเพราะนี่ไม่ใช่สงคราม นี่เป็นเพียงการกดขี่ด้านมนุษยธรรม” เขากล่าวกับอาหรับนิวส์

“เราไม่เห็นทหารทะเลาะกัน เราเห็นง่ายๆ ว่าทหารอิสราเอลสังหารพลเรือน นั่นไม่ใช่สงคราม มันเป็นหายนะด้านมนุษยธรรม”

 

อิสราเอลเปิดฉากการโจมตีทางทหารต่อฉนวนกาซาด้วยความตั้งใจที่จะกำจัดกลุ่มฮามาส หลังจากกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์เปิดฉากการโจมตีทางตอนใต้ของอิสราเอลอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1,200 ราย โดยชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติตกเป็นตัวประกันหลักมากกว่า 200 ราย

สหรัฐอเมริกาและรัฐบาลตะวันตกอื่นๆ หลายครั้งได้แสดงการสนับสนุนสิทธิของอิสราเอลในการปกป้องตนเอง และสนับสนุนเป้าหมายในการกำจัดกลุ่มฮามาสอย่างกว้างขวาง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลยุโรปหลายแห่งมองว่าฮามาสเป็นองค์กรก่อการร้าย

“อาจมีสิทธิ์ปกป้องตัวเองแต่คงไม่ถึงขอบเขตของการเสนอให้มีการสังหารพลเรือนปาเลสไตน์โดยไม่มีขีดจำกัด” มหฎิรกล่าว

“พวกเขาได้สังหาร (พลเรือนปาเลสไตน์) ไปแล้ว 12,000 คน พวกเขาอ้างว่าสูญเสียไปแล้ว 1,400 คน แต่ตอนนี้พวกเขาได้สังหารชาวปาเลสไตน์ไปแล้วกว่า 12,000 คน (ปัจจุบันมากกว่า 3 หมื่นคน) นั่นไม่ใช่วิธีที่จะรักษาความเป็นอยู่ที่ดีของอิสราเอล”

อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนอิสราเอลที่แน่วแน่เริ่มลดลง ในขณะที่การเรียกร้องให้ช่วยเหลือพลเรือนในฉนวนกาซาที่ตกอยู่ในความสูญเสียและความตายยังคงเพิ่มสูงขึ้น กระตุ้นให้มีการเรียกร้องให้หยุดยิงทันทีมากขึ้น รวมทั้งการหาช่องทางช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และข้อตกลงการเจรจากับอิสราเอลที่ดำเนินการมายาวนาน เพื่อหาทางแก้ไขความขัดแย้งกับชาวปาเลสไตน์

 

มหฎิร ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่างที่มีกระบวนการสันติภาพระหว่างปี 1993-1999 เมื่อองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ นำโดยยาซิร อาเราะฟาต (ยัสเซอร์ อาราฟัต) เข้าใกล้เป้าหมายในการสถาปนารัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระ กล่าวว่า ความรุนแรงในวันที่ 7 ตุลาคม 2024 เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากอิสราเอลไม่สามารถรักษาข้อตกลงที่ต่อเนื่องกันไว้ได้

“เป็นเวลา 70 ปีแล้วที่ชาวอิสราเอลกดขี่ชาวปาเลสไตน์ ยึดครองที่ดินของพวกเขา และสร้างชุมชนบนที่ดินของพวกเขา” มหฎิรกล่าว

“และพวกเขา (ชาวปาเลสไตน์) ได้พยายามมาหลายวิธี รวมถึงการเจรจาของอาเราะฟาตด้วย แต่ทุกครั้งที่พวกเขาพยายามแก้ไขปัญหา ชาวอิสราเอลกลับไม่ปฏิบัติตามคำสัญญาของพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่ออาเราะฟาตเห็นพ้องในที่สุดว่ารัฐอิสราเอลควรมีอยู่ และควรมีวิธีแก้ปัญหาแบบสองรัฐ ชาวอิสราเอลไม่ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่พวกเขาให้ไว้ว่าควรมีวิธีแก้ปัญหาแบบสองรัฐแต่อย่างใด

แล้วชาวปาเลสไตน์สามารถทำอะไรได้บ้าง? พวกเขาต้องใช้ความรุนแรงในที่สุด พวกเขาไม่มีทางอื่น โลกไม่ได้ช่วยเหลือพวกเขา ไม่มีความยุติธรรม ดังนั้น การโจมตีในวันที่ 7 ตุลาคม จึงเป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางอื่นที่จะได้ที่ดินกลับคืนมา มันไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศของพวกเขาเอง”

 

ทั้งนี้ อดีตผู้นำมาเลเซียสงสัยว่าอิสราเอลเคยยอมรับความเป็นไปได้ของรัฐปาเลสไตน์ที่เป็นอิสระจากปี 1967 และมีกรุงเยรูซาเลมตะวันออกเป็นเมืองหลวงหรือไม่

แต่เขาเชื่อว่าอิสราเอลต้องการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ในดินแดนที่เหลือทั้งหมดของพวกเขาทางตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน และไปไกลถึงขนาดกล่าวหารัฐบาลปัจจุบันว่าเตรียมการรณรงค์เพื่อการทำลายล้างชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด

“สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ ตามที่พวกเขาทำในฉนวนกาซาด้วยหลักฐานใดๆ ที่มีอยู่ก็ตาม คือการกำจัดชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดออกไปจากโลกนี้ นั่นคือทางออกสุดท้ายของพวกเขา” มหฎิรกล่าว

“พวกเขาเรียนรู้สิ่งนี้จากพวกนาซีแห่งเยอรมนี วิธีแก้ปัญหาของนาซีต่อปัญหาชาวยิวคือการสังหารชาวยิวทั้งหมด ตอนนี้ดูเหมือนว่าอิสราเอลกำลังใช้แนวทางดังกล่าวในการแก้ปัญหา โดยต้องการสังหารชาวปาเลสไตน์ทั้งหมด เพื่อที่ตะวันออกกลางจะได้ไม่มีชาวปาเลสไตน์อีกต่อไป”

“วิธีแก้ปัญหาขั้นสุดท้าย” (ของนาซีเยอรมัน) หมายถึงการสังหารชาวยิว 6 ล้านคน โดยพบว่าชาวยิวส่วนใหญ่อยู่ในค่ายมรณะที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะ ระหว่างปี 1941 ถึง 1945

 

ที่ผ่านมา ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดของสันนิบาตอาหรับและองค์การความร่วมมืออิสลามในกรุงริยาฏ (ริยาด) ซึ่งในระหว่างนั้นบรรดาผู้นำอาหรับต่างก็เรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันทีในฉนวนกาซา และปฏิเสธการให้เหตุผลของอิสราเอลในการดำเนินการของตนว่าเป็นการป้องกันตัวเอง

พวกเขาเรียกร้องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศสอบสวน “อาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่อิสราเอลกำลังกระทำอยู่” ในดินแดนปาเลสไตน์ ตามแถลงการณ์ครั้งสุดท้ายของการประชุมสุดยอดของสันนิบาตอาหรับ

พวกเขายังเรียกร้องให้ยุติการปิดล้อมฉนวนกาซา เข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และขอให้ชาติต่างๆ ยุติการขายอาวุธให้อิสราเอล และเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติดำเนินการ

“แค่การขอให้อิสราเอลหยุดสงครามไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะใครๆ ก็พูดแบบนั้น”

“แต่ประเทศอิสลามสามารถเรียกร้องจากสหประชาชาติให้ส่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพทั้งหมดไปยังฉนวนกาซา เพื่อให้พวกเขาสามารถดูแลสวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ และความมั่นคงของชาวกาซาได้” มหฎิรกล่าว

“ทุกวันนี้ ชาวกาซาไม่ได้รับการปกป้อง พวกเขากำลังถูกฆ่าราวกับว่าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ และนี่คือสิ่งที่อิสราเอลกำลังทำอยู่ การขอให้อิสราเอลหยุดการฆ่าเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ อิสราเอลจะไม่หยุดฆ่า”

“แต่ผมคิดว่าอย่างน้อยพวกเขาควรส่งเจ้าหน้าที่รักษาสันติภาพไปที่กาซา พวกเขาควรจัดหาอาหาร ยา น้ำ และทุกสิ่งที่จำเป็นให้กับผู้คนในฉนวนกาซา และพวกเขาควรจะอยู่ที่นั่น เป็นตัวแทนในฐานะผู้รักษาสันติภาพ เพื่อหยุดยั้งการสังหารผู้บริสุทธิ์อย่างไม่ยุติธรรมโดยกองทัพอิสราเอล”

มหฎิรไม่เชื่อว่าอิสราเอลจะเอาชนะกลุ่มฮามาสได้ด้วยกำลังอาวุธเพียงอย่างเดียว แต่เขากล่าวว่าอิสราเอลและพันธมิตรจะต้องเจรจากับกลุ่มนี้ หากพวกเขาหวังที่จะยุติวงจรความรุนแรงที่นำไปสู่การโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา