นวัตกรรมใหม่ พร้อมใช้ในสนามบิน | จิตต์สุภา ฉิน

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

สนามบินเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ฉันเชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากใช้เวลาอยู่ให้น้อยที่สุด เพราะนอกจากจะคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมายแล้ว ก็ยังเป็นสถานที่ที่เรามักจะต้องเร่งรีบอยู่เสมอ

แต่ในความเร่งรีบนั้นกลับเต็มไปด้วยกระบวนการขั้นตอนต่างๆ มากมายหลายจุด ทั้งการตรวจสอบสัมภาระ สแกนร่างกาย ไปจนถึงการต้องหาวิธีไปถึงเกตที่ต้องการซึ่งอาจจะอยู่อีกอาคารหนึ่งเลยก็ได้

ทั้งหมดนี้ทำให้สนามบินเป็นสถานที่ที่เหมาะมากที่จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้คนที่มาใช้บริการ ทำให้ทุกคนใช้เวลาน้อยลง มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเครียด ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆ จากการต้องมาใช้บริการได้

ที่ผ่านมาสนามบินใหญ่ๆ หลายแห่งทั่วโลกได้ลงทุนเพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาติดตั้ง อย่างเช่น สนามบิน Newark International (EWR) และ LaGuardia (LGA) ที่ลงทุนไปด้วยตัวเลขกว่าสิบหลักในการรีโนเวตสนามบินครั้งใหญ่ และจะมีอีกหลายๆ สนามบินที่เริ่มทยอยทำตามซึ่งอาจจะต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะผ่านกระบวนการขั้นตอนการรีเสิร์ชและทดลองจนผู้โดยสารได้เริ่มใช้จริง

แม้หลายๆ เทคโนโลยียังต้องใช้เวลาอีกนานในการพัฒนา แต่ก็มีเทคโนโลยีสำหรับสนามบินอีกหลายอย่างที่พร้อมใช้งานแล้ว

Miami Herald รายงานถึง 5 นวัตกรรมที่เราน่าจะได้เห็นกันตามสนามบินภายในก่อนสิ้นปีนี้

 

อย่างแรกก็คือการสกรีนความปลอดภัยด้วยตนเอง หรือ Self-service security screening

เทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราสามารถผ่านขั้นตอนการสแกนได้แบบไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่เลย ผู้โดยสารเพียงแค่ต้องเดินเข้าไปในช่องบริการตนเองที่มีกล้องซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบโลหะได้ด้วยติดตั้งเอาไว้และคอยตรวจสอบทุกความเคลื่อนไหว

เมื่อเดินมาถึงสายพาน ผู้โดยสารก็เพียงแค่ต้องวางสัมภาระต่างๆ ลงไป ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า คอมพิวเตอร์ หรือสมาร์ตโฟน หากระบบตรวจสอบแล้วไม่มีอะไรน่าสงสัย ประตูทางออกก็จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ

หากมีของที่ต้องการการตรวจสอบเพิ่มเติม ระบบก็จะแจ้งเตือนให้เจ้าหน้าที่ออกมาดำเนินการต่อ ติดขัดตรงขั้นตอนไหนผู้โดยสารก็สามารถกดปุ่มขอความช่วยเหลือได้ทุกเมื่อ

เทคโนโลยีนี้จะถูกนำไปติดตั้งที่สนามบิน Harry Reid International Airport ในลาสเวกัสเร็วๆ นี้ ถ้าเป็นไปได้ด้วยดีก็เชื่อว่าจะถูกใจผู้โดยสารที่เร่งรีบแน่นอน

 

เทคโนโลยีอย่างที่สองคือ Facial recognition หรือเทคโนโลยีรู้จำใบหน้าซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีใช้กันอยู่แล้วตามสนามบินและกำลังจะขยายไปสู่สนามบินอีกหลายแห่ง

การรู้จำใบหน้าจะช่วยลดขั้นตอนการติดแท็กและหย่อนกระเป๋าเดินทางให้เหลือง่ายๆ เพียงแค่สแกนใบหน้าของเจ้าของกระเป๋าเดินทาง และจะถูกใช้ที่จุดตรวจเอกสารด้วย แทนที่จะต้องยื่นบอร์ดดิ้งพาสและเอกสารยืนยันตัวตน ก็จะเหลือแค่มองกล้องแล้วยิ้มเท่านั้น ระบบก็จะตรวจสอบข้อมูลกับฐานข้อมูลได้เอง ประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากไปได้เยอะ

สนามบินชางงี (Changi) ของสิงคโปร์ก็จะเป็นแห่งต่อไปที่จะนำเทคโนโลยีรู้จำใบหน้ามาใช้แทนการตรวจหนังสือเดินทางของคนที่กำลังจะเดินทางออกจากประเทศภายในช่วงก่อนกลางปีนี้

 

เทคโนโลยีที่สามที่สนามบินหลายแห่งจะเริ่มใช้งานภายในปีนี้ก็คือรถเข็นอัตโนมัติ

เทคโนโลยีนี้มีไว้เพื่อบริการคนที่ต้องนั่งรถเข็นหรือวีลแชร์โดยเฉพาะ แทนที่จะต้องใช้บริการเจ้าหน้าที่ให้เข็นวีลแชร์ให้ สนามบินก็จะจัดเตรียมวีลแชร์ไฟฟ้าที่น้ำหนักเบาและขับเคลื่อนด้วยระบบอัตโนมัติซึ่งออกแบบมาสำหรับใช้ในสนามบินโดยเฉพาะ

เพียงแค่สแกนบอร์ดดิ้งพาสที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ รถเข็นก็จะรู้ได้เองว่าผู้โดยสารคนนั้นต้องเดินทางไปที่จุดไหนของสนามบินและพาไปได้เองโดยอัตโนมัติ หรือจะเลือกใช้ฟังก์ชั่นของการให้วีลแชร์ตามอีกคนที่มาด้วยกันก็ได้เพียงแค่กดคำสั่ง “follow me” เท่านั้น

วีลแชร์ที่จะนำมาใช้นี้ได้รับการออกแบบให้มีขนาดที่เล็กพอที่จะผ่านเข้าไปยังช่องตรวจแคบๆ ได้ และสามารถบังคับให้หลีกเลี่ยงฝูงชนได้แบบหลากหลายทิศทางด้วย ซึ่งสนามบินที่จะเริ่มใช้เทคโนโลยีนี้ก็อย่างเช่น สนามบินนาริตะ คันไซ และฮาเนดะของญี่ปุ่น เป็นต้น

 

เทคโนโลยีที่สี่คือการจองช่องตรวจความปลอดภัยไว้ก่อนล่วงหน้า

คอนเซ็ปต์ก็คล้ายๆ กับการจองร้านอาหารไว้ล่วงหน้า หรือจองช่วงเวลาชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่สถานีชาร์จนั่นแหละค่ะ ผู้โดยสารสามารถจองช่องตรวจความปลอดภัยในสนามบินไว้ก่อนล่วงหน้าผ่านทางออนไลน์ได้เพื่อหลีกเลี่ยงการต้องต่อคิวยาวเหยียด

สนามบินบางแห่งเปิดให้ผู้โดยสารจองไว้ก่อนล่วงหน้าถึง 3 วันก่อนวันเดินทางจริง

ในขณะที่บางแห่งก็จะเปิดให้จองล่วงหน้าได้ถึงหนึ่งสัปดาห์

หากกังวลว่าถ้าจองไว้แล้วจะไปไม่ทันเวลานั้นเป๊ะๆ ก็ไม่ต้องห่วง เพราะช่วงเวลาสล็อตการจองในแต่ละครั้งถูกออกแบบเอาไว้ให้อยู่ที่ 20-30 นาที ทำให้พอมีเวลาเผื่อเหลือเผื่อขาดได้

 

เทคโนโลยีสุดท้ายอาจจะไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่ต้องมี แต่ก็คิดว่าหลายๆ คนก็จะเห็นด้วยว่าก็ดีกว่าไม่มีแหละน่า นั่นก็คือการใช้หุ่นยนต์มาให้บริการทำเล็บค่ะ

บริการทำเล็บด้วยหุ่นยนต์นี้จะประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ของสนามบิน และใช้เวลาในการทำเล็บเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น หุ่นยนต์จะหน้าตาคล้ายเครื่องปรินต์ 3 มิติ ที่เราสามารถกดหน้าจอเพื่อเลือกสีเลือกแบบที่ต้องการได้ สอดมือเข้าไป แค่ 10 นาทีเราก็จะได้เล็บที่ทาสีออกมาอย่างสวยงาม

หุ่นยนต์ทำเล็บจะพร้อมให้บริการอีกไม่นานข้างหน้านี้ในสนามบินในสหรัฐหลายแห่ง เช่น JFK, ลาสเวกัส, ไมอามี, เดนเวอร์ และโอกลาโฮมา

ถ้าหากเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดระยะเวลาที่เราต้องแกร่วอยู่ในสนามบินได้ ทำให้การตรวจสอบความปลอดภัยต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยที่ใช้เวลาน้อยลง การเดินทางของคนทั่วโลกก็คงจะน่ารื่นรมย์ขึ้นเยอะ

และจะช่วยให้คนขี้หงุดหงิดอย่างฉันอยากเดินทางมากขึ้นแน่นอน