อ่านสัญญาณ ยักษ์ใหญ่เอเชียป่วยไข้

บทความพิเศษ | พาราตีรีตีส

 

อ่านสัญญาณ

ยักษ์ใหญ่เอเชียป่วยไข้

 

ก้าวสู่ปี 2024 ไปได้เพียงเดือนเศษ แต่สถานการณ์จีนด้านเศรษฐกิจและสังคมภายใน นับวันทำท่าไม่สู้ดี เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วยังแก้ไม่ตก ตั้งแต่ภาวะคนหนุ่มสาวว่างงานเพิ่มขึ้นเพราะไม่เห็นโอกาส จนถึงดัชนีราคาผู้บริโภคลดลงต่อเนื่องซึ่งเสี่ยงเกิดภาวะเงินฝืด ตอนนี้พี่ใหญ่ที่ครั้งหนึ่งมีลุ้นจะแซงหน้ามหาอำนาจยืนหนึ่งอย่างสหรัฐกำลังเข้าขั้นป่วยหนัก

สถานการณ์ที่นับวันจะเห็นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ นี้ นำไปสู่การตั้งคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับจีน แล้วสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร?

และบรรดาประเทศที่พึ่งพาพี่ใหญ่แห่งเอเชีย ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องจริงจังกับทางเลือกอื่นเพื่อชดเชยความเสี่ยง

หรือว่าเลือกจะร่วมทุกข์สุขต่อไป แบบพี่เจ็บ น้องต้องเจ็บตามไปด้วย

 

เมื่อ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา 60 minutes รายการชื่อดังจากสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสของสหรัฐ รายงานปรากฏการณ์ผู้อพยพรอบใหม่ตามแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก อย่างที่รู้กันว่า แนวชายแดนที่ติดกับเม็กซิโก สหรัฐต้องเผชิญกับผู้อพยพหนีเข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย ส่วนใหญ่มาจากประเทศแถบละตินอเมริกาหรืออเมริกากลาง

แต่การอพยพรอบล่าสุดนี้ ผู้ลักลอบเข้าเมืองกลับเป็นชาวจีนในจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ และที่น่าทึ่งคือชาวจีนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลาง ได้รับการศึกษาดี หลายคนเคยเป็นเจ้าของธุรกิจ มาตอนนี้พวกเขากลายเป็นคนลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย

ชาวจีนเหล่านี้เดินทางเข้าเอกวาดอร์แบบไม่ต้องใช้วีซ่า แล้วนั่งรถข้ามประเทศจนถึงชายแดนเม็กซิโก ก่อนลักลอบเข้าเมืองทั้งแบบเดี่ยวทิ้งครอบครัวไว้ที่จีน หรือบางกลุ่มมากันยกบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่ยอมถูก ตม.คุมตัวก่อนทำยื่นขอลี้ภัย แล้วมากกว่า 55% ได้รับการอนุมัติให้อยู่ในสหรัฐ อาจมีส่วนหนึ่งต้องถูกส่งกลับแต่จีนเลือกไม่รับ ทำให้คนเหล่านี้ยังอยู่ในสหรัฐต่อไป

ส่วนสาเหตุหลักที่ต้องเลือกลอบเข้าเมืองคือ หนีจากเศรษฐกิจตกต่ำและการเมืองในจีนที่เป็นเผด็จการมากขึ้นเรื่อยๆ

กลุ่มที่ลอบเข้าเมืองจากชายแดนเม็กซิโกนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์การอพยพครั้งใหม่ของชาวจีนรุ่นใหม่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราได้เห็นชาวจีนรวมตัวกันเป็นชุมชนตามประเทศต่างๆ (รวมถึงไทย) ที่อาจดูเหมือนนักท่องเที่ยวที่มาเดินชม ช้อป ชิม แต่พวกเขาเหล่านี้ เลือกจะอยู่ยาวและหาทางอยู่ต่อโดยไม่คิดจะกลับบ้านเกิด

และมีชาวจีนไม่น้อยเห็นไทยเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่จะใช้ชีวิตได้อย่างเสรี (ในความรู้สึกพวกเขา)

 

แดน หวัง นักวิเคราะห์ที่เคยทำงานทั้งในปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ได้เขียนลงบล็อกส่วนตัวขณะที่พักอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ บรรยายตอนหนึ่งถึงความเปร่งประกายของคนหนุ่มสาวชาวจีนในไทยที่ได้ใช้ชีวิตและทำสิ่งที่ชอบในแบบของตัวเอง

แดนได้เขียนลงในบล็อก 2023 Letter ว่า

“ที่เชียงใหม่ ผมนึกถึงความคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมของคนหนุ่มสาวชาวจีน เด็กเหล่านี้สามารถแสดงออกกับสิ่งที่ดีที่สุดได้ สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตของจีนคือความเร็วของคำศัพท์ใหม่ๆ เช่น r?n (หนี) และ tangping (นอนราบ) ได้รับความโดดเด่นในกระแสหลัก แต่ก็มีคำอื่นๆ อีกมากมาย

ในประเทศไทย ผู้คนกำลังสนุกสนานกับชีวิตออฟไลน์ ซึ่งหาไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองใหญ่ของจีนอีกต่อไป พวกเขาต่างออกเดินทาง เต้นรำในคลับ และทำในสิ่งที่คิดว่ายากที่สุดจนสำเร็จ บางครั้งพวกเขาก็มารวมตัวกันเพื่อถกกันว่า ชีวิตจะดีขึ้นได้อย่างไร หรือนึกภาพเพลงที่พวกเขาได้สร้างหรือภาพยนตร์ที่พวกเขาผลิตขึ้นเอง โดยที่พวกเขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับการเซ็นเซอร์ที่เอาแต่ใจ ซึ่งบังคับให้ผลงานของพวกเขาต้องสอดคล้องกับ ‘ค่านิยมหลักของสังคมนิยม'”

แดนระบุอีกว่า ประเทศจีนแห่งอนาคตจะไม่เหมือนจีนที่ปกครองโดยคนแก่เฉกเช่นปัจจุบัน บางทีคุณอาจไม่เชื่อว่า เด็กชาวจีนที่มีความสุขไปกับเรื่องชวนหลอนประสาท

จะเป็นปลายหอกอันแหลมคมเพื่อการเปลี่ยนแปลง และทำสิ่งดีๆ ให้กับจีนสักวันหนึ่ง

 

การไหลบ่าของชาวจีนอพยพรุ่นใหม่นี้ ทำให้เกิดคำถามที่เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลจีนภายใต้การกุมอำนาจเป็นสมัยที่ 3 ของสี จิ้นผิง นักวิเคราะห์ได้ออกมาให้ความเห็นว่า ระบอบการปกครองในแบบของสี ไม่ว่ามาตรการควบคุมกำกับของรัฐที่ใช้กับธุรกิจต่างๆ วิถีสังคมนิยมแบบปฏิบัตินิยม หรือการควบคุมสังคมแบบเบ็ดเสร็จด้วยเทคโนโลยี ทำให้สีรักษาอำนาจตัวเองไว้ได้แต่กลับทำลายประเทศจีนลงอย่างช้าๆ

อีวาน ออสนอส ได้เขียนบทความให้กับ The New Yorker เมื่อปีที่ผ่านมา ในชื่อ China’s Age of Malaise บรรยายสถานการณ์ในจีนภายใต้รัฐบาลสี กำลังแสดงความถดถอยหลายด้านจากการบริหารที่ผิดพลาด ซึ่งสารตั้งต้นของทั้งหมดนี้ มาจากหลักคิดแบบสีที่มุ่งการควบคุมทุกอย่าง ซึ่งได้กลายเป็นผลลัพธ์ต่อมาอย่าง

นโยบายโควิดเป็นศูนย์ กฎระเบียบที่จุกจิกจนทำธุรกิจยากขึ้น หรือการควบคุมเสรีภาพเพื่อสยบผู้เห็นต่างอย่างกรณีกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงฉบับใหม่ ได้ส่งผลทำให้ความมีชีวิตชีวาที่เคยมีเมื่อ 2 ทศวรรษก่อนจางหายไป

คนหนุ่มสาวต่างหมดหวังกับอนาคตในประเทศนี้ และเลือกทิ้งบ้านเกิดไปหาโอกาสที่ดีกว่า

อีวานระบุว่า จีนในปัจจุบันกำลังเผชิญปัญหาที่มากกว่าแค่เรื่องเศรษฐกิจ สิ่งที่เติ้งและทายาทการเมืองของเขาวางรากฐานเรื่อง “ปฏิรูปและเปิดกว้าง” สีทำสวนทางหมด

ทั้งนี้ อีวานได้ระบุถึง จอร์ก วู้ดเก้ ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าสหภาพยุโรปแห่งประเทศจีน และใช้ชีวิตอยู่ในจีนกว่า 3 ทศวรรษ โดยจอร์กกล่าวว่า “จีนมักมีเรื่องราวการกลับมาอยู่เสมอ แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เลย”