รุมกินโต๊ะ ‘ร้องยุบพรรค’ | ลึกแต่ไม่ลับ

จรัญ พงษ์จีน
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

ไม่มีคำว่า “รอดปาฏิหาริย์” สำหรับ “พรรคก้าวไกล” ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา “ศาลแขวงปทุมวัน” อ่านคำพิพากษา คดีในความผิด พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง หรือที่เรียกกันว่า “คดีแฟลซม็อบที่สกายวอล์ก” เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2562

“ศาล” ชี้โดยสรุปว่า จำเลยทั้งหลายอยู่ในฐานะผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ แต่ไม่แจ้งก่อนล่วงหน้าภายใน 24 ชั่วโมง ไม่ดูแลการชุมนุมไม่ให้กีดขวาง และไม่ควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำให้เกิดความไม่สะดวกต่อประชาชนที่สัญจร ในพื้นที่สาธารณะ เกิดความเดือดร้อน ซึ่งตามกฎหมาย พฤติกรรมดังกล่าวมีโทษทางพินัยและอาญาตามมาตรา 83

พิพากษาให้จำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่ศาลได้คำนึงถึงสถานะทางสังคม และไม่เคยรับโทษมาก่อน จึงได้ปรานีทางกฎหมายอาญาให้โอกาสรอลงอาญา 2 ปี แต่ให้ปรับเป็นพินัยตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง เป็นเงิน 10,200 บาท ซึ่งตามกระบวนการจำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้

“เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แล” สำหรับจำเลยทั้ง 8 ที่โดนเช็กบิล มีทั้ง “ขาจร-ขาประจำ” ประกอบด้วย “น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา-นายพริษฐ์ ชีวารักษ์-นายธนวัฒน์ วงศ์ไชย-นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ-นายปิยบุตร แสงกนกกุล-น.ส.พรรณิการ์ วานิช-นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์-นายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร”

ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน “พรรคก้าวไกล” โดนกระซวกไส้แตกมาหนหนึ่งแล้ว

คือเมื่อวันที่ 31 มกราคม “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้อ่านคำวินิจฉัยว่า “นายพิธา” ผู้ถูกร้องที่ 1 “พรรคก้าวไกล” ผู้ถูกร้องที่ 2 มีพฤติกรรมในการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพื่อการเรียกร้องให้มีการทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยซ่อนเร่นการนำเสนอร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค มีลักษณะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นขบวนการ

“จึงมีคำสั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 เลิกการกระทำ เลิกแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกมาตรา 112 อีกทั้งไม่ให้มีการแก้ไขมาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติต่อไปในอนาคตด้วย”

ผลพวงจากคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้ยุติ “จบข่าว” เพียงให้ผู้ถูกร้องทั้ง 2 “เลิกการกระทำฯ” ยังจิ๊กซอว์ต่อยอดไปสู่สถานีต่อไป เมื่อมี “นักร้อง” ไปยื่นเรื่องขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ “ป.ป.ช.” นำคำวินิจฉัยมาตรวจสอบเพิ่มเติม ว่า ส.ส.ก้าวไกลจำนวน 44 คนที่ร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 มีพฤติกรรรมจงใจปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และจะต้องเสนอเรื่องต่อศาลฎีกา ตามความในมาตรา 87 ตาม พ.ร.ป.ป.ป.ช. หรือไม่

สอดรับกับอีกเครือข่าย นำคำวินิจฉัยของ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ไปยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ว่า เข้าข่ายมีความผิดตามมาตา 92(2) ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง ฐานกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ทั้งสองกรรมสองวาระ ที่แยกกันเดินร่วมกันตี เพื่อให้พรรคด้อมส้ม แตกพ่าย และตายสนิททางการศึก 44 ส.ส.ก้าวไกลมีความผิด ถูกตัดสิทธิทางการเมืองคนละ 10 ปี และมีคำสั่ง “ยุบพรรค”

 

แต่ดูประหนึ่งว่า “แกนนำค่ายก้าวไกล” ทุกหมู่เหล่าจะไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจกับที่ถูกรุมกินโต๊ะ และยื่นร้องให้ยุบพรรคและตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารกันสักเท่าไหร่

คงคิดว่า เหล็กยิ่งทุบยิ่งคม และเมื่อถูกนาบมากๆ นานเข้าก็กลายเป็น “ดาบ” ได้ ดูหนังตัวอย่างประกอบจากกรณี “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีมติยุบ “พรรคอนาคตใหม่” และมีมติให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค เมื่อปี 2562 เนื่องจากเห็นว่า กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 72 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ทั้งยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคคนละ 10 ปี

คำวินิจฉัยทำให้ กก.บห.พรรคทั้งหมด 16 คนถูกตัดสิทธิ ทำให้ยอด ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งในปี 2562 ยอดรวม 76 คน คงเหลือในสภาผู้แทนราษฎรเพียง 65 คน แล้วยังมีผึ้งแตกรัง แหกด่านมะขามเตี้ย ไปสังกัดพรรคอื่นอีกจำนวนหนี่ง

ศึกเลือกตั้งใหญ่เมื่อต้นปี 2566 มีการเปลี่ยนแปลงบัตรเลือกตั้ง จากหัสเดิม ใช้บัตรเดียว ทั้งเขตเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อ หรือ “ปาร์ตี้ลิสต์” ซึ่งว่ากันว่า หมายมั่นจะเตะสกัด “ก้าวไกล” เป็นการเฉพาะ

แต่แนวคิดของประชาชน ในหมู่คนรุ่นใหม่ สะท้อนผ่านการเลือกตั้ง ว่าต้องการความเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาต้องลดบทบาทอำนาจเก่า ที่ถ่วงสังคมไม่ให้เดินหน้ามาเป็นเวลาช้านาน

ตอบโจทย์กับผลจากศึกเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลชนะที่ 1 ได้รับเลือกตั้งทั้ง 2 ระบบ 151 ที่นั่ง เต็ง 1 คือ “เพื่อไทย” ที่ประเมินกันว่า จะถล่มทลาย กลับเข้าป้ายในลำดับที่ 2 ที่ 141 เสียง

ไม่เพียงแต่พรรคอนาคตใหม่ที่ถูกยุบ แล้วมาสวมสิทธิปะยี่ห้อก้าวไกล ยังชนะเลือกตั้ง เมื่อ 14 ปีที่แล้ว ประวัติศาสตร์การเมืองไทยก็ยังจารึก เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 พรรคไทยรักไทย ที่มี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นหัวหน้าพรรรค และที่ชนะเลือกตั้ง โดน “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำสั่งยุบพรรค ด้วยมติเสียงเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2524 มาแล้ว

พรรคไทยรักไทย เล่นแร่แปรธาตุ ส่ายอาดๆ มาใช้ชื่อ “พรรคพลังประชาชน” กลับตายสิบเกิดแสน ชนะเลือกตั้งต่อพรรคประชาธิปัตย์คู่ปรับตลอดกาลอีกวาระสมัย แม้ในกาลต่อมา “พลังประชาชน” นอมินีของ “ไทยรักไทย” จะโดนคำสั่งวินิจฉัยยุบพรรคซ้ำ และเพิกถอนสิทธิกรรมการบริหารพรรคอีกคำรบ คนละ 5 ปี ถูกเตะรวบจำนวน 37 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2551

พวกที่รอดตาย ถ่ายโอน มารวมตัวกันที่พรรคเพื่อไทย ก็กลับชนะเลือกตั้งม้วนเดียวจบ 264 ที่นั่ง ประชาธิปัตย์ได้เพียง 161 เสียง เพื่อไทยทุบประวัติศาสตร์ฟอร์มรัฐบาลได้พรรคเดียว

“พรรคก้าวไกล” กำลังเจริญรอยตาม