ทำให้ได้ 2 ข้อ เปลี่ยนตำรวจ ไปตลอดกาล

ทําไมการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงองค์กรตำรวจให้ดีขึ้น ให้เป็นที่เชื่อถือเชื่อมั่นของประชาชนถึงได้ยากนักหนา

การปฏิรูปตำรวจถูกกล่าวถึงมาตลอด 2 ทศวรรษ รัฐบาลหลายชุดตั้งคณะกรรมการศึกษาค้นคว้าจะปฏิรูปกันครั้งแล้วครั้งเล่า

ประธานหรือหัวหน้าคณะทำงานตลอดจนกรรมการล่วงหน้าไปสู่สัมปรายภพกันแล้วหลายท่าน แต่ “การปฏิรูปตำรวจ” ก็ยังไม่ได้สำเร็จ

ถ้าจะปรับแต่งกันบ้างก็เหมือนรถที่ปะผุ ยังคงบุโรทั่งดังเดิม!

ซ้ำร้าย เมื่อการเมืองมีรัฐประหารบ่อยครั้ง “กฎแห่งอำนาจ” ก็ได้รับความเคารพมากกว่า “กฎหมาย”

การเมืองที่ล้าหลังป่าเถื่อนจึงเป็น “ต้นธาร” ของความเสื่อมทรามทั้งปวงในสังคม!

นั่นคือเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้ “กฎหมาย” ไม่ศักดิ์สิทธิ์และผู้คนไม่เคารพกฎหมาย

มีใครในสังคมไทยที่ไม่เชื่อว่า ทุกชั้นทุกขั้นตอน “วิ่งเต้น” ได้!

มีใครที่ไม่เชื่อว่า ในหน่วยงานรัฐทุกองค์กรมีการทุจริตคอร์รัปชั่น

ความเป็นจริงของสังคมไทยในทุกวันนี้ก็คือ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย มีไว้สำหรับคนตัวเล็กที่กินเล็กกินน้อย ส่วน “คนตัวใหญ่” ที่กินเป็นล่ำเป็นสัน กินมูมมาม กินบนดิน กินบนฟ้า บนน้ำใต้น้ำ กินบ้านกินเมืองนั้นมีตัวแบบให้เห็นว่า “เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้า เติบใหญ่ ประสบความสำเร็จในชีวิต”

 

ตํารวจเป็นเพียง 1 ในกลไกของฝ่ายบริหาร ถึงแม้จะมีหน้าที่ “บังคับใช้กฎหมาย” แต่ก็อยู่ภายใต้ “กฎของการเมือง”

เมื่อประเทศไทยยังมีรัฐประหารเฉลี่ย 6-7 ปีต่อ 1 ครั้ง ตำรวจก็เป็นได้แค่ “เครื่องมือ” ทางการเมืองของฝ่ายบริหารที่มาจากคณะรัฐประหารหรือสืบทอดจากการรัฐประหาร

ตำรวจเรียนรู้ที่จะประพฤติและปฏิบัติตาม “กฎ” ของการเมือง รวมทั้งยินยอมอยู่ภายใต้วัฒนธรรมการปกครองของนักรัฐประหาร

ความก้าวหน้าในชีวิตราชการตำรวจไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถในวิชาชีพตำรวจ กลับไปขึ้นอยู่กับการปรับตัวให้สอดคล้องกับ “กฎแห่งอำนาจ”

“กฎแห่งอำนาจ” นำไปสู่การฉ้อฉล!

 

การเมืองภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จหรือประชาธิปไตยจอมปลอมทำให้ตำรวจเรียนรู้ที่จะปรับตัว อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนเป็นแค่สำนวนประโลมโลก การพินอบพิเทาต่ออำนาจฝ่ายบริหารในฐานะ “เครื่องมือ” ที่ชอบด้วยกฎหมายต่างหากที่เป็นทางนำพาไปสู่ความสำเร็จ

รัฐไม่ได้ตั้งใจที่จะปฏิรูปกิจการตำรวจเพื่อประโยชน์ของปวงชน

นานวันเข้าตำรวจยิ่งเตลิดไปไกล!

ไม่มีความศรัทธาในวิชาชีพ หมดความภาคภูมิใจกับการทำหน้าที่ดับร้อนคลายทุกข์ช่วยผู้คนให้พ้นพาลพ้นภัย

ตำรวจยังคงมี “ผู้บังคับบัญชา” ตามลำดับชั้นก็จริง แต่ขาดวินัย ไร้ “ผู้นำ” ที่จะพาองค์กรไปในทิศทางที่สอดคล้องกับความต้องการของสังคม จึงปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งว่าถูกออกจากราชการ ติดคุก และตายก็เนื่องจากไม่สนใจ “เส้นแบ่ง” ระหว่าง “ผู้ร้าย” กับ “ตำรวจ”

และสับสนระหว่าง “เงินสะอาด” ที่ได้จากการประกอบอาชีพถูกกฎหมาย เงินบริสุทธิ์ กับ “เงินสกปรก” ที่ได้จากการค้ายา เงินเปื้อนเลือดและชีวิตคนจากการพนันออนไลน์ เงินค่าคุ้มครอง เงินปันผลจากกิจการจีนเทา เงินชายแดนที่แลกมาด้วยความมั่นคงของชาติจากการปล่อยให้ “ต่างด้าว” เล็ดลอดเข้ามา เงินบนท้องถนน เงินบนดิน เงินในน้ำ เงินในน้ำมัน เงินในอากาศ ซึ่งดูเหมือนว่า “หน้าที่” อะไรต่อมิอะไรก็สามารถแปลงให้ “เงิน” งอกออกมาได้ไร้ขีดจำกัด

แม้แต่สถานการณ์วิกฤตระดับสงครามในบางพื้นที่ “หัวหน้าหน่วย” ก็ยังเห็นเป็น “ขุมทรัพย์” ที่ขุดกันไม่มีวันหมด สืบเนื่องจากยุคหนึ่งถึงยุคหนึ่ง จากคนหนึ่งสู่คนหนึ่ง

ถึงกับในบางยุคบางคน เมื่องบประมาณถูกจัดลงไป เรียก “เงินทอน 100%” ให้ส่วนกลางเคยได้ยินกันไหม!

เรื่องตำรวจจับตำรวจนั้นไม่มี

เว้นแต่ที่ “ขัด” ผลประโยชน์หรือโค่นทำลายกันในฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย

ทุกหน่วยต่างก็ถือว่า “ผู้บังคับบัญชา” แต่ละคนต่างมาแล้วจากไป

เพียงแต่มีข้อน่าสังเกตคือ เคยมีใครสักคนที่ “จากไปมือเปล่า” หรือไม่

ตั้งแต่ระดับ “สถานีตำรวจ” กองกำกับการ กองบังคับการ และกองบัญชาการ มีหรือไม่ “นาย” ที่ “จากไปมือเปล่า”

ถ้าเช่นนั้นแล้ว “มีอะไร” ที่ติดไม้ติดมือไป!?

 

“บิ๊กโจ๊ก” ผู้โด่งดังแห่งวงการตำรวจเคยว่าไว้ เมื่อครั้งว้าวุ่นว่า

“ผมไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง อยากให้ตำรวจที่ไม่เกี่ยวได้มีทางเดินบ้าง ถ้าทุบหม้อข้าวเมื่อไหร่ก็ตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สงสารน้องๆ ผู้กำกับการจะอยู่กันอย่างลำบาก”

คำของบิ๊กโจ๊กไม่ต้องอธิบายขยายความ

ทุกหน่วยประพฤติปฏิบัติกันประเจิดประเจ้อ หัวหน้าหน่วยประกาศเปิดเผยทุกที่

การบังคับใช้กฎหมายมิได้หมายมุ่งประโยชน์แห่งความยุติธรรม

ในฐานะ “ต้นธาร” การทำหน้าที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดในคดีซึ่งเริ่มที่ตำรวจจึงบิดเบี้ยว เลือกที่จะจับ เลือกบังคับใช้กฎหมาย และพร้อมยินดีรับใช้ผู้กุมอำนาจการเมืองอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

เมื่อทุกการบังคับใช้กฎหมายมีช่องให้ “เคลียร์” กฎหมายก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์

เมื่อบรรทัดฐานถูกทำลาย ผู้คนก็ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือการทำหน้าที่ของตำรวจ

ไม่ใช่ตำรวจไม่รู้ ตำรวจที่ดีๆ ใฝ่ดีต่างก็ฝันอยากจะเห็น “ความเปลี่ยนแปลง”

แต่ทุกครั้งที่มี “ความเปลี่ยนแปลง” กลายเป็นการเพิ่มขึ้นของเก้าอี้ “นายพล” และเกิดขุมทรัพย์ใหม่ของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทุกครั้งไป

ที่เคยประกาศจะปฏิรูปตำรวจกันมาไม่น้อยกว่า 5 ครั้งใน 2 ทศวรรษ ควรจะลืม

ถ้าจะเปลี่ยนแปลง จากนี้ไปไม่ต้องคุยโม้จะรื้อโน่นรื้อนี่ให้อลหม่านกันอีก สิ่งที่ศึกษาค้นคว้าบันทึกเป็นเอกสารนับพันนับหมื่นหน้ากระดาษนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อยเป็นอันพับไป

ขอเพียงองค์กรตำรวจ “ลงมือทำจริง” และ “ทำทันที” ตำรวจก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ทำแค่ 2 อย่างเท่านั้น

1. หยุดการทุจริตทุกระดับชั้นในทุกหน่วย

2. บังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เที่ยงธรรม มีมาตรฐานแน่นอน

“เส้นแบ่ง” ของตำรวจกับผู้ร้าย จะปรากฎชัด

ตำรวจเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ไม่ใช่ผู้ร้ายในเครื่องแบบ

ตำรวจเป็น “ผู้รักษากฎหมาย” ไม่ใช่ขี้ข้าของทหารหรือนักการเมือง!?!!